เป็นโรคสองขั้ว (ไบโพลาร์) ควรปกปิดหรือเปิดเผย?

โดย | ก.ย. 27, 2021 | Community, Heart-Inspire

ตอนนี้หลายคนยัง WFH ทำงานที่บ้านกันไป ว่างๆก็ดูหนังดูซีรีย์คลายเครียดกันไปด้วย จะได้ไม่เบื่อกับการต้องอยู่บ้าน วันก่อนได้ดูซีรีย์อเมริกันเรื่อง Spinning Out ใน Netflix เป็นเรื่องของ Kat Baker นางเอกของเรื่องซึ่งเป็นนักเล่นสเก็ตน้ำแข็งคนหนึ่ง เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการแข่งขัน ต้องหยุดเล่นนับปี แต่ต่อมาก็ได้รับโอกาสในการเริ่มต้นในอาชีพนี้อีกครั้ง ในฐานะผู้เล่นสเก็ตคู่ ขณะเดียวกันก็ซ่อนประวัติความเจ็บป่วยทางจิตของตนเองและแม่เอาไว้อย่างแยบยล เธอและแม่เป็น “ไบโพลาร์”

 

โรคนี้เป็นโรคทางจิต ในเว็บไซต์ www.healthline.com บอกสถิติว่าประมาณ 2.8 % ของคนในสหรัฐอเมริกา ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ ส่วนประเทศไทยยังไม่เห็นสถิติ แต่ก็พบบ่อยขึ้น หากใครตามข่าวอดีตผู้กำกับโจ้ที่เค้นสอบเรื่องยาเสพติดและทำร้ายคนจนเสียชีวิต ตามข่าวอ้างว่าทำเพราะเป็น “ไบโพลาร์” ทีนี่เราลองมาดูว่าโรคนี้เป็นยังไงกัน และเป็นในที่ทำงานจะรอดไหม หมายถึงผู้เป็นโรคนี้ และคนรอบข้างที่ปฏิสัมพันธ์ด้วย แล้วหากรู้ว่าเป็นไบโพลาร์ต้องเปิดเผยไหมว่า “เป็น”

 

เราได้นำบทความจาก www.healthline.com/health/bipolar-and-work มาฝากผู้อ่านให้เข้าใจใน “โรคไบโพลาร์” มากขึ้น เผื่อมีคนในครอบครัว หรือเพื่อนเข้าข่ายจะได้เข้าใจกันมากขึ้น และให้การช่วยเหลือ

 

“โรคไบโพลาร์” อาจเรียกว่า “โรคสองขั้ว” เป็นภาวะทางจิตเวช ที่อาจทำให้อารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง ผู้ที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้วสามารถ “หมุนเวียน” จากอารมณ์สูง ที่เรียกว่าความคลั่งไคล้ และภาวะ hypomania ไปสู่อารมณ์ที่ต่ำมาก (ภาวะซึมเศร้า) การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ร่วมกับอาการอื่นๆ ของโรคสองขั้วสามารถสร้างความท้าทายในการดำเนินชีวิตส่วนตัวและการเข้าสังคมของผู้ที่เป็น

 

แต่เมื่อยังต้องทำการทำงาน ผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ และภาวะสุขภาพจิตอื่นๆ มีศักยภาพที่จะทำงานได้หรือไม่? เคยมีการสำรวจครั้งหนึ่งในอเมริกา พบว่า 88 % ของผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ หรือโรคซึมเศร้า บอกมาว่า “ อาการของพวกเขาส่งผลต่อการทำงาน และประมาณ 58% ของพวกเขาเลิกทำงานนอกบ้านทั้งหมด”

 

ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า การทำงานสามารถช่วยคนที่เป็นโรคไบโพลาร์ได้ค่อนข้างมาก เพราะงานสามารถลดภาวะซึมเศร้า และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่เป็นโรค ก็เลยมีความท้าทายมากมายที่เกี่ยวข้องกับการมีโรคสองขั้วกับการรักษางานที่ทำอยู่

 

งานที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีโรคสองขั้วคืออะไร?

 

ไม่มีงานไหนที่เหมาะกับทุกคน แต่ผู้ที่เป็นไบโพลาร์ ควรมองหางานที่เหมาะสมกับตนเอง โดยให้ดูจาก สภาพแวดล้อมในการทำงาน และงานนี้จะช่วยสนับสนุนไลฟ์สไตล์หรือไม่ หรือช่วยให้เติบโตในฐานะปัจเจกบุคคลได้หรือเปล่า

 

หลายคนที่เป็นโรคไบโพลาร์จะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อมีงานที่สามารถสร้างสรรค์ได้ แต่หากเป็นงานที่ท้าทายเกินไป ก็จะส่งผลต่อความเครียด และหากเวลาทำงานไม่แน่นอน ต้องทำงานข้ามคืน หรือทำงานกะกลางคืนก็อาจไม่เหมาะเช่นเดียวกัน เพราะการนอนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโรคนี้ การรักษารูปแบบการนอนหลับ และตื่นตามปกติจะเป็นประโยชน์กับโรคอารมณ์สองขั้ว

 

สำหรับคนจำนวนมากที่เป็นโรคไบโพลาร์ พื้นที่ทำงานที่เงียบ และผ่อนคลาย จะดีกว่า ช่วยรักษาตารางเวลาที่สม่ำเสมอ และปรับปรุงการทำงานโดยรวมด้วย

 

เพื่อนร่วมงานก็สำคัญ ต้องหาเพื่อนร่วมงานที่มีค่านิยมที่สอดคล้องกับตัวเอง เป็นผู้ที่ยอมรับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน เนื่องจากสิ่งนี้สำคัญต่อสุขภาพโดยรวม และความเป็นอยู่ที่ดีของคนเป็นโรคสองขั้ว การมีเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือ ช่วยให้รู้สึกเข้าใจและเผชิญปัญหาในสถานการณ์ตึงเครียดด้วย

 

อย่างไรก็ดีหากไม่สามารถหางานที่เหมาะได้ อาจต้องเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เพื่อให้มีความคิดสร้างสรรค์และความยืดหยุ่นมากกว่าหากเทียบกับทำงานให้คนอื่น

 

ความเครียดส่งผลต่อผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ได้อย่างไร?

 

ความเครียด ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้เสมอไปในการทำงาน แต่สำหรับคนที่มีโรคสองขั้ว ความเครียดเป็นปัญหาใหญ่ อาจส่งผลเสียโดยรวมต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ แล้วจะทำอย่างไรที่จะขจัดความเครียดไปได้ มีอยู่ด้วยกัน 9 เทคนิค ที่เรานำมาฝาก ประกอบด้วย

  1. หยุดพักบ่อยๆ และสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าจำเป็นหรือไม่ก็ตาม

2.ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่นการหายใจลึกๆ และการทำสมาธิเพื่อลดความเครียด

  1. ฟังเพลงผ่อนคลาย หรือบันทึกเสียงธรรมชาติ
  2. รับประทานอาหารกลางวันที่สามารถเดินเล่นรอบตึกได้
  3. พูดคุยกับเครือข่ายสนับสนุนหากต้องการความช่วยเหลือ
  4. หยุดงานเพื่อบำบัดรักษาเมื่อจำเป็น
  5. การรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี สามารถช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้
  6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินเพื่อสุขภาพ นอนหลับให้เพียงพอ
  7. อย่าลืมปฏิบัติตามแผนการรักษา

 

คนที่เป็นโรคไบโพลาร์มีสิทธิอะไรบ้าง?

 

ผู้ที่เป็นไบโพลาร์ไม่จำเป็นต้องบอกข้อมูลด้านสุขภาพใดๆ กับนายจ้าง เว้นแต่จะทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะแม้ว่าคนทั่วไปจะเปิดใจมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วยทางจิตในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีความแปลกแยกอยู่ ผู้คนอาจปฏิบัติต่อผู้ป่วยแตกต่างออกไป หากพวกเขารู้ว่าคนนั้นมีอาการทางจิต ซึ่งอาจรวมถึงคนที่ทำงานด้วย

 

ในทางกลับกัน ก็มีคนจำนวนมากที่เข้าใจสภาพสุขภาพจิตและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงาน ในบางกรณี การแบ่งปันการวินิจฉัยโรคสองขั้วกับเจ้านาย และฝ่ายทรัพยากรบุคคล อาจเป็นประโยชน์ โดยหากผู้ที่ร่วมงานทราบถึงสภาพของผู้ป่วย พวกเขาอาจมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือในลักษณะที่จะช่วยลดความเครียดในที่ทำงาน และทำให้ประสบการณ์การทำงานโดยรวมสนุกสนานยิ่งขึ้น

 

มาถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่าบางครั้ง ผู้ป่วยสามารถหางานที่ดีและเหมาะสมได้ด้วยตัวเอง แต่หากประสบปัญหา การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญอาจช่วยได้มาก ลองปรึกษาโรงพยาบาลที่มีสิทธิรักษา แทบทุกโรงพยาบาล จะมีนักจิตวิทยาคอยช่วยเหลือ เพื่อให้เราประกอบอาชีพได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างปกติสุข

 

อ้างอิงจาก www.healthline.com/health/bipolar-and-work

#ซึมเศร้า #ไบโพลาร์ #สุขภาพจิต