การโน้มน้าวใจผู้คน ให้เห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูด ยอมรับในสิ่งที่เราคิด หรือเดิน “เกี่ยวก้อย” กับเราในชีวิตจริงๆ …ผมคิดว่าทุกอย่างล้วนอ้างอิงกับ ศิลปะแห่งสัมพันธภาพ และเทคนิคในการสื่อสารที่จับใจผู้คน

ในวิถีประจำวัน เรามักพูดโพล่งนับพัน นับหมื่นคำ บางครั้งก็คิดก่อนพูด แต่ส่วนใหญ่ พูดก่อนคิด แม้จะดูจริงใจ แต่ก็ถือว่าผิดหลักการสื่อสารแบบหวังผลลัพท์

กล่าวอย่างนี้ อาจทำให้หลายคนรู้สึกกระอักกระอ่วน เพราะการคิดก่อนพูดนั้น ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่จริงๆแล้ว ง่ายมากเลยครับ เพราะเรามุ่ง “โฟกัส” เฉพาะเวลาต้องการร้องขออะไร จากใครบางอย่าง หรือแม้ขอความร่วมมือในการทำงาน กับใครก็ตาม

สิ่งสำคัญ คือคุณต้อง “คาดคะเนความคิด” ของผู้คน ที่เราต้องการสื่อสารให้ได้ด้วยว่า เค้ากำลังรู้สึกอย่างไร พอใจหรือไม่ และต้องการอะไร ถ้าทั้งสองฝ่าย “คลิก” ตรงกัน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าไม่ล่ะ…?

ยกตัวอย่าง ช้อปปิ้งสตรีทแห่งหนึ่ง ช่วงที่คนกำลังคลาคล่ำ ลูกค้าเกิดปวดปัสสาวะขึ้นมากะทันหัน เดินตรงรี่ไปยังห้องน้ำแต่ โอ๊ะ! เจอป้ายคำว่า “กำลังทำความสะอาด” แถมยังถูกพนักงานไล่ให้ไปใช้ที่ชั้นอื่นอีก

อย่างนี้ ความรู้สึกของลูกค้าจะเป็นอย่างไร คำถามย่อมเกิดขึ้นมากมาย “ทำไมต้องมาทำตอนเวลาห้างเปิดด้วย?” หรือ “แค่เข้าห้องน้ำนิดเดียว ชั้นต้องเดินไกลขนาดนี้เลยหรือ คราวหน้าชั้นไม่มาแล้ว?”

จริงๆ แล้ว ทุกๆ คน จะไม่เสียความรู้สึก เพียงแต่ต้องมีกลยุทธ์บางอย่าง เสริมการสื่อสาร จึงจะได้ผลลัพท์ ไม่ว่าจะเป็นป้ายที่ปิดหราให้ลูกค้ารับรู้ หรือคำพูดจาของพนักงานทำความสะอาด จะช่วยเยียวยาให้ลูกค้าไม่พร่ำบ่นเกินไป เช่น

“ขออภัย ทำความสะอาดเพียง 10 นาที เพื่อให้ทุกคนมีห้องน้ำที่ถูกสุขอนามัย”

“ระวัง! พื้นยังเปียกลื่น โปรดใช้ห้องน้ำชั้นล่าง จะได้รับความสะดวกมากกว่า”

เห็นมั้ยครับว่า แทนที่ช้อปปิ้งสตรีทนี้ จะเขียนป้ายราวกับออกคำสั่ง หรือห้าม! ไม่ให้ใช้ห้องน้ำ ซึ่งเสียอารมณ์ลูกค้ามากๆ เปลี่ยนมาเป็นการแสดงความเป็นห่วงเป็นใย อาทร ผู้ใช้บริการ ว่าอาจได้รับอันตรายจากพื้นที่ลื่นเฉอะแฉะ

เรียกว่าทุกคน ต่าง “ได้รับประโยชน์” จากการดำเนินงานของทางห้างครั้งนี้ สุดท้ายกลายเป็นเกิดความรู้สึกดีๆ มากยิ่งขึ้น

กลยุทธ์การสื่อสารแบบนี้ เรียกว่าเป็นการโน้มน้าวด้วย “สิ่งที่คนอื่นไม่ชอบ” ให้หันกลับมา “เห็นด้วย” หรือ “ยอมรับ” กับเรา และนำสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ มานำเสนอให้ได้รับคำตอบว่า Yes นั่นเอง

วิธีการเดียวกันนี้ สามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันนะครับ แม้แต่ช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของคุณ เมื่อต้องตกหลุมรักใครสักคนเข้าอย่างจัง แต่ เอ..ไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะมีใจให้หรือเปล่า จะชวนไปออกเดท ไปทานข้าว ได้ไหมนะ

ถ้าอยู่ใน โมเมนต์ ที่คุณต้องพูดแล้ว ขอให้กลั่นความคิดและถ้อยคำสักนิดครับ อย่าพูดอย่างที่ต้องการบอก ออกไปตรงๆ ทื่อๆ เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการความรู้สึกร่วมแบบ “ยินยอมพร้อมใจ” ครับ

เช่นถ้าพูดตรงๆ ว่า “คืนนี้ไปทานข้าวกันนะ” … “เย็นนี้ไปดูหนังกับผมนะ” อย่างนี้ดูเหมือนอ้อนวอน แกมบังคับ ไม่ค่อยประทับใจ

ผมแนะนำให้เปลี่ยนใหม่โดยใช้ถ้อยคำให้มี มนต์เสน่ห์ ดึงดูดใจคนที่เรารักสักนิดครับ ไม่เสียหายอะไร

“ผมเห็นร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ มีคนรีวิวว่าซูชิอร่อย คืนนี้ไปทานกับผมนะ”

“มีภาพยนตร์น่าดูของ เบน แอฟเฟล็ค กับ แบรด พิตต์ เข้าโรงอยู่ ไม่รู้คุณชอบพระเอกคนไหนมากกว่า หลังเลิกงานเราไปดูกันมั้ยครับ”

กลเม็ดสื่อสารแบบนี้ เป็นวิธีที่จะไม่ทำให้คนรัก รีบ “ปฏิเสธ” แบบไร้เยื่อใย เพราะคุณกำลังโน้มน้าว ด้วยการนำเรื่องที่ เธอชอบอกชอบใจ มาทำให้รู้สึกว่า คุณช่างรู้ใจ เพราะนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันก็ชอบอยู่แล้ว ไม่ได้รู้สึกว่า ถูกบังคับอะไรเลย

และสองคือ การใช้ “ตัวเลือก” ให้ผู้หญิงของคุณ รู้สึกว่ามีส่วนร่วม ตัดสินใจไปกับคุณด้วยตัวเอง เหมือนสร้าง Choice A และ B ให้เธอยิ้มได้ เลือกได้อย่างอิสระ ว่าจะดูหนังที่พระเอกร่างสูง เบน แอฟเฟล็คเล่น หรือหนุ่มดิบๆ เซอร์ๆ อย่างแบรด พิตต์ ดีล่ะ

แล้วก็มาถึงไฮไลต์สำคัญ ที่สุภาพบุรุษทุกคนต้องผ่านประสบการณ์นี้มาสักครั้งในชีวิตครับ คือการขอเธอแต่งงาน จะมีคำพูดติดปากที่ใช้กันอยู่ทั่วไปก็คือ “แต่งงานกันนะ” หรือ “ผมอยากจะอยู่กับคุณไปชั่วชีวิต” เสร็จแล้ว พระเอกก็จะหยิบแหวนแต่งงานขึ้น เห็นเพชรเม็ดงามแวววาว ซึ้งชะมัด!

แต่คำพูดนี้ใช้ได้ สำหรับผู้หญิงที่คุณมั่นใจแล้วว่า เธอจะไม่หันหลังกลับ หรือปฏิเสธ คำขอสวมแหวนของคุณแน่ๆ

แล้วถ้าเป็น โมเมนต์ ที่คุณต้องเอ่ยอะไรออกไป ท่ามกลาง ความไม่แน่ใจ ล่ะครับว่า เธอจะ Yes I do กับคุณหรือไม่ จะมีวิธีการพูดอย่างไรดีเอ่ย…

หลักสำคัญเดียวกันคือ อย่าให้เธอรู้สึกว่าถูกบังคับ แต่พยายามทำให้รู้สึกว่า การใช้ชีวิตร่วมกันนั้น คือสิ่งดีๆ ความรู้สึกดีๆ ที่คุณจะแชร์ความผูกพันร่วมกับเธอ

“ผมพร้อมแล้ว ที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ คอยดูแลคุณไปจนชั่วชีวิตครับ…นี่คือคำสัญญาจากผม เราแต่งงานกันเถอะนะ”

“คุณเป็นคนเดียวที่ผมอยากเจอทุกวัน แม้แต่ในความฝัน…ทุกๆ นาทีผมอยากมีคุณอยู่ข้างๆ แต่งงานกับผมนะครับ”

“จะดีมั้ย ถ้าคุณไม่ต้องโพสต์ภาพในเฟสบุ๊คคนเดียว เราจะได้เซลฟี่ภาพไปเที่ยวด้วยกัน จนถึงวันที่มีเจ้าตัวน้อย…มาสร้างครอบครัวกับผมนะ”

Yes I Do….