[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

เดือนพฤศจิกายน เดือนที่เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการของนอร์เวย์ เวลากลางวันจะสั้นกว่ากลางคืน กว่า 11 ชั่วโมงของการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงออสโล (Oslo) เวลาท้องถิ่นขณะนั้นประมาณ 4 โมงเย็น ท้องฟ้ามืดสนิท ราวกับ 3 ทุ่มบ้านเรา

เราเช่ารถจากสนามบิน ขับมาพักในตัวเมืองของออสโล 1 คืน แม้ถนนหนทางโล่ง รถราไม่มากมาย แต่จะประหม่าบ้างในช่วงแรก สำหรับการไม่คุ้นชินกับรถพวงมาลัยซ้าย และชิดขวา ตรงข้ามกับประเทศไทย

หลังจากได้เริ่มประลองความหนาวเย็นในค่ำคืนแรกที่ถึงนอร์เวย์ไปบ้างแล้ว

… เช้าวันรุ่งขึ้น หิมะโปรยปรายมาทักทายพวกเราชาวกระเหรี่ยงเมืองร้อน พื้นถนน หลังคาอาคารบ้านเรือน ต้นไม้ถูกหิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั้งเมือง

บรรยากาศในเมืองออสโล ขาวโพลนปกคลุมไปด้วยหิมะ

ในระยะแรกของการพบปะหิมะแบบจังๆ ดีใจกันแบบสุดๆ และสนุกกับการถ่ายรูป เก็บบรรยากาศสวยๆ ที่ไม่คุ้นตาในประเทศแถบศูนย์สูตร เมื่อความสุขสนุกถึงจุดอิ่มตัว ความหนาวเหน็บ หนาวยะเยือกเข้ามาแทนที่ ผนวกกับเวลา ที่เราควรจะต้องออกเดินทางจากออสโลแล้ว

จุดหมายเริ่มแรกของทริปในนอร์เวย์ คือ จากออสโล ไปเบอร์เกน (Bergen) เมืองที่อุดมไปศิลปะ วัฒนธรรม และท่าเรือใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งจีพีเอส จาก Google Map ระบุระยะให้ใช้เส้นทางถนน E16 จากออสโล ถึงเบอร์เกนราว 460 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 7 ชั่วโมง

นับว่าเป็นระยะทางค่อนข้างไกล ผนวกกับการไม่คุ้นชินกับรถพวงมาลัยซ้าย เส้นทางบางช่วงต้องขับลุยหิมะที่กระหน่ำตกแบบไม่เกรงใจคนต่างถิ่น ประกอบกับช่วงเวลาการทำงานของอาทิตย์น้อยมาก ขึ้นตอน 9 โมง ตกตอนบ่าย ทำให้ไม่สามารถขับทำความเร็วได้มาก เราจึงไปถึงได้แค่เมืองโฟลม (Flåm) เมืองทางผ่านที่ใช้เส้นทางเดียวกับเบอร์เกน

เส้นทาง ภูเขา ลำน้ำที่สวยงามการเดินทางไปโฟลม

โฟลมเป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขา เมืองแห่งฟยอร์ด เกาะแก่งที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง เคล้าคลึงปั้นแต่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม และยังมีเส้นทางรถไฟ “Flamsbana” ที่เป็นเส้นทางสาขาจากออสโล-เบอร์เกน เส้นทางความสูงถึง 866 เมตร เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและน่าสนใจที่สุดของประเทศนอร์เวย์ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะเวียนมาเข้าชมมากมาย กระทั่งในปี 2014 Lonely Planet จัดให้เป็นทางรถไฟที่โรแมนติก สวยงามที่สุดในโลกOne of the world’s most beautiful train journeys”

เราซื้อตั๋วแบบไป – กลับ ในราคา 490 NOK จุดสตาร์ท Flam ปลายทางที่สถานี Myrdal ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร

ขบวนรถไฟสีเขียว ต่างเส้นทางรถไฟสายหลัก (ออสโล-เบอร์เกน) ที่เป็นสีแดง มาจอดรอที่ชานชาลาอยู่แล้ว ภายในตู้โดยสาร มีนั่ง 2 ฝั่ง ผู้โดยสารสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ

นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่มาเช็คตั๋วแล้ว ยังถามพวกเราด้วยว่ามาจากประเทศอะไร แอบคล่องใจนิดหน่อยว่าทำไมเพื่ออะไร… แต่พอรถไฟเคลื่อนขบวน ก็จะมีเสียงบรรยาย พร้อมกับภาพทางทีวีประกอบไม่ใช่เพียงแต่ภาษาอังกฤษ หรือภาษานอร์เวย์ แต่จะมีภาษาไทยด้วย อาจเพราะคนไทยมาท่องเที่ยวกันเยอะ และด้วยความใส่ใจ เขาจึงได้จัดทำบรรยายเสียง ตัวอักษรภาษาไทยให้คนไทยได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟแห่งนี้ ที่ไม่ใช่เพียงแต่เห็นภาพความสวยงามอย่างเดียว

รถไฟลอดอุโมงค์ภูเขา ข้ามสะพาน กลางหุบเขา ระหว่างทางจอดแวะให้ถ่ายรูปน้ำตก “Kjosfossen” ภาพน้ำตกเดิมๆ ที่คุ้นตา ที่มีสายน้ำขนาดใหญ่ไหลจากบนเขา ถูกขนาบด้วยเหล่าพันธุ์ไม้สีเขียว หากแต่อุณหภูมิที่เย็นจัด สตาฟน้ำตกขนาดใหญ่ให้เป็นน้ำแข็ง สีสรรต้นไม้ที่เคยขนาบข้าง ก็พาลจำศีลคงไว้จะสีดำไร้ใบ รอเวลาสะพรั่งใบอีกครั้งเมื่อพ้นฤดูหนาว เป็นภาพขาวดำ สวยมหัศจรรย์แปลกตาไปอีกแบบ

การเดินทางด้วยรถไฟที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในโลก ภาพ 2 ข้าง ภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน แทรกแซมด้วยบ้านเรือนสีสันต์ต่างๆ ตามสไตล์ท้องถิ่น ผสมผสานเป็นทัศนียภาพงดงามโรแมนติก จินตนาการความหวานในซีรี่ย์ที่ได้กุมมือใครซักคนมาชมวิวเคียงข้างกัน…ฮา

 

ถึงสถานี Myrdal ปลายทางของขบวน Flamsbana หยุดพักประมาณ 20 นาที ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศหิมะ โปรยปราย ขาวโพลนกลางหุบเขา เวลาเหมือนจะน้อย แต่ความหนาวเย็น ดูเหมือนยืดเวลาให้ยาวนาน แทบจะทนความยะเยือกกันไม่ได้ทีเดียว

เส้นทางไป-กลับ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่สถานี Flam มีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเรื่องราวของรถไฟสายดังกล่าว ที่เริ่มต่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1924 และเปิดใช้งานเมื่อปี 1940 ผ่านมาเกือบ 80 ปีแล้ว นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมล่องเรือสำหรับชมทัศนียภาพของฟยอร์ดที่สำคัญๆ ด้วย

แต่เนื่องจากเราต้องขับรถกลับไปที่ออสโล จึงมีเวลาไม่มากที่จะทำกิจกรรมอื่น เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะนั่งเครื่องไปทางเหนือของนอร์เวย์เพื่อทำภารกิจสำคัญของทริป คือ “ตามล่าหาแสงเหนือ” !!! ….