โมริโอกะเมืองเล็กๆ ในภูมิภาคโทโฮคุ ตอนเหนือของเกาะฮอนชู ช่วงฤดูหนาวบรรยากาศบ้านเรือนของผู้คน ต้นสน สายน้ำและภูเขา เหมือนกับไอศครีมสีขาวใส่บนถ้วยเล็กๆ วางตรงโน้นทีตรงนี้ที เมื่อถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ใช่เลยหิมะหนาๆ มาอีกแล้วสินะ คนญี่ปุ่นจะได้ออกมาเล่นสกีเสียที ขณะที่คนท้องถิ่นซุกตัวอยู่ในบ้านอันแสนอุ่น

จำได้ว่าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เค้าบอกว่าทัศนียภาพที่นี่สวยงามราวกับภาพเขียน…แต่เมื่อปฏิทินเปลี่ยนโฉมหน้า ข้ามมาจนถึงเดือนสุดท้ายกลายเป็นเหมันต์ฤดู ป่าเขาของ โทโฮคุ  (Tohoku) ที่เคยดูเป็นสีแดง เหลือง น้ำตาล ก็ต่างปกคลุมไปด้วยหิมะโปรยปราย เกล็ดน้ำแข็งนุ่มละเอียดจนได้รับการยกย่องว่าเป็นปุยสัมผัสที่บอบบางสุดแห่งหนึ่ง นั่นทำให้เฟรมภาพเปลี่ยนเฉดสีและไม่เหมือนเดิมสักฤดูกาล

คนไทยเริ่มคุ้นเคยกับภูมิภาคโทโฮคุมากขึ้นๆ เพราะมีเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติเชื่อมต่อกันแบบ Route โดยประกอบด้วย 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอาโอโมริ (Aomori), จังหวัดอาคิตะ (Akita), จังหวัดอิวาเตะ (Iwate), จังหวัดมิยะงิ (Miyagi), จังหวัดยามากาตะ (Yamagata) และจังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) ที่คนไทยรู้จักกันดีจากเหตุการณ์สึนามิ

โมริโอกะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) เมืองใหญ่แต่ไม่จ้อกแจ้กจอแจ แม้จะมีผู้คนมาเช็คอินมากที่สุดแล้วก็ตามที สถานีรถไฟเป็นจุดเชื่อมต่อยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในยามฤดูหนาวตั้งแต่ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เป้าหมายก็คือสกีรีสอร์ตที่ทุกคนจะได้โอบกอดภูเขาอิวาเตะ (Mt.Iwate) ซึ่งไม่ใช่แค่ทิวทิศน์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณของผู้คนในแถบถิ่นนั้น

เช่ารถขับชิลๆ ไปสกีรีสอร์ต

เมื่อลงจากรถไฟ JR ณ สถานีโมริโอกะ คำนวณระยะเวลาห่างจากสถานีโตเกียวประมาณ 3 ชั่วโมง เราเช่ารถจากบริษัท JR Rent a Car ซึ่งดูเจ้าหน้าที่จะไม่คุ้นเคยกับคนต่างชาติเท่าไรนัก แล้วขับไปต่อทันทีเพราะสถานที่ๆ เราปักหมุดปลายทางนั้นต้องออกไปนอกเมืองโมริโอกะและข้ามไปถึงเมืองตากอากาศอย่าง Shizukuishi เรียกว่าไกลพอสมควร 

โชคดีที่เวลานี้เป็นห้วงยามที่หิมะยังไม่โปรยปรายหนักหนาสาหัส ปิดพื้นผิวถนนจนโหดร้ายมากเกินไปนัก อุณหภูมิวัดได้ประมาณ 3-4 องศา ทัศนวิสัยคูลเช่นนี้เหมาะกับการขับรถเที่ยวชิลๆ เป็นอย่างยิ่ง

จีพีเอสของเราตั้งไว้ไปถึงปลายทาง ณ Shizukuishi Prince Hotel  ซึ่งเป็นโรงแรมออนเซ็นและสกีรีสอร์ตอันดับหนึ่ง ได้รับความนิยมสูงในหมู่คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้ที่มาเล่นสกีแบบครอบครัว กระเตงลูกๆ หลานๆ มาฝึก ไปจนถึงสายแข็งที่ต้องขึ้นไปให้ถึงยอดก่อนจะสไลด์ลงมานับได้หลายกิโลเมตรอยู่ และตามประวัติศาสตร์ที่นี่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นสถานแข่งขันสกีในกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวซึ่งญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพอีกด้วย

Mt.Iwate จิตวิญญาณแห่งอาทิตย์อุทัย

เราขับผ่านรอยต่อของเมืองโมริโอกะและ เมือง Shizukuishi ไม่อาจละสายตาไปกับความสวยงามเมื่อแรกเห็น Mt.Iwate ความสูง 2,038 เมตร 

แม้ฐานของภูเขาจะตั้งอยู่ในเมืองโมริโอกะ แต่เห็นได้ไกลถึงเมืองที่อยู่รายรอบ ทัศนียภาพเช่นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น และต้องขอบอกว่า เวลาสัมผัสภูมิทัศน์จริงๆ มันสุดยอด รับรู้ถึงความสูงตระหง่านด้วยรูปทรงแบบญี่ปุ่นแท้ๆ แม้ยอดไม่เรียวแหลมเหมือนดังภูเขาไฟฟูจิ หรือไม่ได้ทอดตัวเหยียดยาวเช่นเทือกเขาทั่วไป แต่ Mt. Iwate คือปฏิมากรรมที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาชิ้นเดียวในโลก ระบายสีขาวทั่วทั้งยอดเขาตัดกับสีเทาดำของแผ่นหินอันกว้างใหญ่ไพศาล โดดเด่นกลมกลืนไปกับท้องฟ้า สายลม แสงแดด และผืนแผ่นน้ำ…ยามแสงตะวันทาบทามันจึงดูงดงามสุดบรรยาย

rhdr

คืนนี้เรามีนัดทานอาหารเย็นที่ ฟาร์มโคอิวาอิ (KOIWAI FARM) ตั้งอยู่เชิงเขาอิวาเตะ ซึ่งเริ่มเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1891 ปัจจุบันได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นฟาร์มเกษตรภาคเอกชนที่ใหญ่สุดในแดนอาทิตย์อุทัยด้วยขนาด 7,400 เอเคอร์ มีเสียงชื่นชมไม่ขาดสาย แต่ไม่ใช่เรื่องความยิ่งใหญ่ของพื้นที่หรืออายุอานามนับร้อยปี แต่เป็นอาหารและเนื้อวัวชั้นเลิศซึ่งรสชาติเทียบชั้นได้กับเนื้อวากิวแห่งเมืองโกเบ..ขนาดนั้นเลย 

พื้นที่แห่งนี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักเขียนบทกวีและนิทานปรัมปราแห่งญี่ปุ่นนามว่า Kenji Miyazawa ผู้หลงใหลเนินเขาซึ่งอุดมไปด้วยเถ้าถ่านของภูเขาไฟและป่าไม้สนขึ้นเต็มไปหมด ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล

Kenji Miyazawa จึงเลือกสร้างบ้านและบุกเบิกการทำฟาร์มที่ตรงนี้ในยุคที่ญี่ปุ่นยังมีระบบการปกครองแบบดั้งเดิมเมื่อร้อยกว่าปีก่อน กระทั่งมีผู้ร่วมอุดมการณ์คิดที่จะขยายพื้นที่ทำเกษตรกรรมอย่างจริงจัง นำมาสู่ผืนดินมหัศจรรย์ด้วยทิวทัศน์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของภาคกลางและภูมิภาคโทโฮคุ โดยในยุคแรกยอดเขาอิวาเตะได้รับการขนานนามว่า Mt. Iwate-Fuji 

เทศกาลหิมะและแสงไฟในฟาร์มโคอิวาอิ

เจ้าของฟาร์มแห่งนี้อาจเปลี่ยนไปรุ่นสู่รุ่นแต่สิ่งหนึ่งไม่เคยเปลี่ยนคือการต้อนรับผู้มาเยือนหลายแสนคนทุกฤดูกาล

ฤดูร้อนที่นี่มีทุ่งหญ้าอันสวยงามเรียกว่ามาคิบะเอ็นชวนให้นักท่องเที่ยวมาลองรีดนมวัว ขี่ม้าหรือนั่งบนรางรถม้า ชมต้นซากุระ การแสดงของแกะและสุนัขแสนรู้ กลางคืนมีหอดูดาวบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ หากเมฆหมอกเป็นใจเราจะเห็นดวงดาวที่ชัดแบบพาโนรามา

ส่วนในฤดูหนาวเช่นนี้ มาคิบะเอ็น จะแปรเปลี่ยนเป็นการจัด เทศกาลหิมะอิวาเตะ และในฟาร์มประดับประดาแสงไฟนับล้านดวง สีสันสุกสกาวสว่างไสว แล้วจะเวอร์ไปมั้ยถ้าบอกว่าอาจมีคนเห็นแสงวิบวับนี้ได้ด้วย…เมื่อมองจากดาวอีกดวงหนึ่ง

ออกสตาร์ทจากโรงแรมปริ๊น เราขับรถไปฟาร์มโคอิวาอิไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เครื่องยนต์เคลื่อนไปท่ามกลางทางมืดๆ ทั้งๆ ที่นาฬิกาบอกเวลาว่ายังไม่ถึงหนึ่งทุ่มดีเลยด้วยซ้ำ ทำให้หลงเล็กๆ เราแล่นผ่านหมู่บ้านเก่าแก่ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบเกษตรกรรม เรียบง่ายและมักทำอาหารทานภายในครอบครัว

ถ้ามาเยือนในฤดูกาลอื่นเราคงถูกห้อมล้อมด้วยทุ่งนาสีเขียวๆ สวนผักสดและผลไม้ แต่ในเวลานี้ทุกๆ ที่ ล้วนมีแต่เกล็ดหิมะปกคลุมจนขาวโพลนเหลือแค่ถนนสีดำกับแสงไฟที่นำเราไปเพียงเท่านั้น

การเยี่ยมชมฟาร์มโคอิวาอิตอนช่วงเทศกาลหิมะตอนกลางคืน ต้องเสียค่าเข้าชมด้วยประมาณ 800 เยน ตอนแรกเรานึกว่าจะเป็นฟาร์มเงียบสงบห่างไกลจากผู้คน แต่ไปถึงจริงก็ต้องตาลุกวาวเพราะไม่ต้องห่วงว่าจะเหงา มิตรสหายร่วมทางจอดเรียงรายอยู่หลายร้อยคัน มากันทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ แม้แต่ฝรั่งก็ยังมา ทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะชมการจุดพลุของฟาร์มที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้ง ทุกวันเสาร์อาทิตย์ในฤดูหนาวเช่นนี้เท่านั้น 

oznor
oznor

ฟาร์มโคอิวาอิอร่ามไปด้วยแสงสีละลานตา ทั้งบนต้นไม้ใหญ่ ต้นคริสมาสต์ รถม้า เหมือนได้มาสวนสนุกธรรมชาติที่แต่งแต้มด้วยบรรยากาศแห่งความสุข คนญี่ปุ่นเค้าชอบอะไรที่น่ารักๆ แบบนี้ บางคนก็จับมือคู่รัก บ้างก็จูงลูกจูงหลาน บ้างเข็นลูกเด็กเล็กแดงฝ่าความเย็นยะเยือก เก็บไว้เป็นเมมโมรี่ เป็นไดอารี่ และเป็นของขวัญดีๆ ให้แก่ชีวิตในวัยเยาว์

ในฟาร์มมีร้านอาหารหลายรูปแบบทั้งสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ อาหารอิตาเลียน และราเมงร้อนๆ สุดแสนจะน่ากิน แต่อาหารทุกๆ จานขอบอกว่าล้วนเป็นผลผลิตวัตถุดิบจากฟาร์มแห่งนี้ทั้งสิ้น ถ้ากินแล้วถูกใจเค้าให้ช้อปได้ในร้านขายของที่ระลึกซึ่งดูไปก็คล้ายๆ เลม่อนฟาร์มของบ้านเรานั่นเอง 

เนื้อวัวชั้นเลิศและออนเซ็นท่ามกลางธรรมชาติ

เชื่อหรือไม่ว่า บุฟเฟ่ต์ที่เราจองมาจากเมืองไทยกลายเป็นอาหารที่อร่อยมาก ฟิวชั่นแบบญี่ปุ่นตะวันออกผสมตะวันตก มีทั้งผักสดๆ เนื้อรสละมุน ซุปหอมๆ และของหวานที่ทำมาจากนมสดของที่นี่ เช่น ซอฟท์ไอศรีม ทำให้ทุกคนต่างยิ้มแก้มปริ แถมได้ชมการแสดงพลุที่ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปด้วยสีสัน เติมดินเนอร์เบาๆ ของเราในคืนนี้ให้เป็นมื้อพิเศษขึ้นมาทันที

เมื่อกลับไปยังโรงแรมปริ๊นแล้วรู้สึกยังไม่สุดเพราะกิจกรรมปิดท้ายของเราวันนี้ คือการนอนแช่ออนเซ็นอันแสนอุ่น เมื่อไปถึงก็ต้องเซอร์ไพรส์เพราะบ่อน้ำร้อนอยู่กลางแจ้ง มองเห็นทัศนียภาพหิมะขาวๆ และเจ้าปลาคราฟหลายร้อยตัวว่ายวนเวียนอยู่รายรอบ

สายลมเย็นยะเยือกพัดมาจากป่าสนจำศีลที่ผลัดใบหมดแล้ว สู้กับไอร้อนผ่าวของน้ำแร่สีเทา ลงแช่สักครู่เริ่มรู้สึกถึงความกลมกลืน ช่วยให้คืนนี้นอนหลับสบายแน่นอน ก่อนตื่นขึ้นมารับแสงแดดอุ่นๆ ในยามเช้าและชมภูมิภาพของภูเขาอิวาเตะได้อย่างเต็มตา

นักท่องเที่ยวต่างหลงรักการมาโมริโอกะในฤดูหนาว เพราะพื้นที่กว้างๆ ให้หิมะทอดพราวราวกับผืนผ้า กิโมโน ถักทอด้วยเส้นใยสีขาวๆ ฟังเสียงกิ่งไม้ที่กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งร่วงกราว คล้ายๆ กับเสียงรองเท้า GETA โบราณเมื่อย่างกรานไปบนพื้นจนดังกรอกแกรก

…ยลภาพและเสียงอันเย้ายวน เชิญชวนดื่มด่ำสุนทรียรสและความสุขสงบในแบบชนบทของภูมิภาคโทโฮคุแท้ๆ