การเที่ยวดีสนีย์เวิร์ลแบบไตรภาคให้ครบ ก็ต้องมาจบที่ Theme Park แห่งที่สาม คือ Disney-Magic Kingdom เป็นอาณาจักรความฝันของเด็กๆ ที่เค้าบอกว่า…นี่คือสวนสนุกหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ ที่ทำให้จินตนาการแบบแฟนตาซีกลายเป็นจริง

ผมเริ่มต้นขึ้นรถบัสจากที่พักเร็วเหมือนทุกวัน ออกจาก Disney’s Pop Century Resort แต่เช้าตรู่เพราะเรามีนัดกับร้านอาหาร Be Our Guest Restaurant เป็นอเมริกันเบรกฟาสต์ ตบแต่งบรรยากาศในร้านดูครึ้มๆ ด้วยความหนาวเย็น เพราะเราอยู่ในปราสาทของภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องดัง Beauty and the Beast

นั่นคือความพิเศษของอาหารเช้ามื้อนี้!! แขกบางโต๊ะได้นั่งในห้องที่มีหิมะโปรยปราย บางโต๊ะนั่งในห้องที่มีเจ้าหญิงกับเจ้าชายอสูรเต้นรำกันอย่างโรแมนติค เหมือนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโลกภาพยนตร์ในตำนาน นับเป็นความรัญจวนที่สุดครั้งหนึ่งแน่นอน

เมื่อเดินเข้าประตูเมืองแฟนตาซี เหมือนก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยดินแดนแห่งเวทมนต์และความสนุกสนาน ต้องขอบอกว่า Magic Kingdom ใหญ่อลังการมากๆ ประกอบด้วย 6 โซน เริ่มจากโซนถนน Main Street U.S.A เป็นศูนย์กลางประชาสัมพันธ์ใครต้องการหาอะไรหรือจะนัดเจอกัน อยากไปจุดไหน ก็สามารถสตาร์ทจากที่นี่ได้ และที่สำคัญคือเป็นแหล่งดูดสตางค์ของนักท่องเที่ยวเพราะมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านไอศครีม ร้านอาหาร ฯลฯ

สู่จักรกาลอันไกลโพ้นกับ Buzz Lightyear

เดินไปตามแผนที่จะพบกับโซน Tomorrowland เครื่องเล่นน่าลุ้นครับ สนุกแล้วก็แอดแวนเจอร์แบบที่เด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดี เราต่อคิวนั่ง Space Mountain ก็เป็น Roller Coaster ที่พาเราไปท่องอุโมงค์กาลเวลาข้ามมิติของอวกาศแบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า เล่นเอาสาวๆ ข้างหลังร้องกรี๊ดกันระงมทีเดียว

ส่วน Tomorrow Speedway อันนี้ชิลๆ ชวนน้องๆ หนูๆ มาขับรถแบบเอาท์ดอร์ แต่ที่ผมคิดว่าสนุกสุดๆ ในโซนนี้น่าจะเป็น Buzz Lightyear’s Space Ranger Spin น่ารักตั้งแต่ทางเข้าเครื่องเล่นเมื่อมีเจ้า Buzz Lightyear จากแอนิเมชั่น Toy Story ตัวใหญ่ยักษ์มาคอยต้อนรับทุกคน จากนั้นเค้าพาเรานั่งยานแม่ออกไปยิงปืนเลเซอร์โดยหมุนปืนได้แบบ 180 องศา เพื่อเก็บสะสมแต้ม ไม่ได้มีของรางวัลอะไรหรอกครับแต่ทำให้เราอยากกลับมาเล่นอีกรอบเพื่อดูว่าจะได้คะแนนสูงกว่าเดิมมั้ยน้าา

สำหรับใครที่เป็นแฟนของ Jack Sparrow ใน Pirates of the Caribean ก็ต้องไปโซน Adventure Land ที่พาเราฝ่ากระแสน้ำทะเลนั่งเรือ Black Pearl ย้อนกลับไปดูฉากสำคัญคือถ้ำโจรสลัดสุดขอบโลก พร้อมกับบรรดาลูกเรือจอมเพี้ยนทั้งหลายที่มากันครบครัน

โซน Frontier Land จุดเด่นเค้าอยู่ที่ Splash Mountain เพราะภูเขาจำลองของดีสนีย์สูงจริงๆ ช่วงแรกๆ ก็อ่อยเหยื่อให้ตายใจไหลลงมาจากเขาลูกเล็กๆ ก่อน ปล่อยให้เพลินๆ กับโลกแห่งการ์ตูนในถ้ำไปเรื่อยๆ จนมาไคลแมกซ์เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุด จากนั้นปล่อยเรือลงมาอย่างรวดเร็ว เสียวสันหลังวาบทีเดียวเชียว

ฝนมาแต่บรรดาเด็กๆ สู้ไม่ถอย

ส่วนโซน Liberty Square เป็นแอเรียที่มีความเป็นอเมริกันสูงมาก ไม่ได้บรรจุเครื่องเล่นแบบเอาใจเด็ก(โข่ง) ไว้มากเท่าไหร่ จะเน้นประวัติศาสตร์ชนชาติของเค้ามากกว่า อย่าง The Hall of Presidents คือโชว์ที่จะแสดงให้เห็นความเป็นมาของสหรัฐและนำเอาหุ่นจำลองเหมือนจริงมากๆ ของประธานาธิบดีสหรัฐทุกคนไว้ในเวทีเดียวกัน รวมถึงผู้นำคนล่าสุดอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วย

ส่วนบรรยากาศรอบๆ Liberty Square ก็น่าถ่ายรูปสวยๆ เพราะเค้าจัดให้มีมุมไฮไลต์สำคัญเช่น ระฆังเสรีภาพ ที่เคยถูกใช้ในวันประกาศอิสรภาพและรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอเมริกา ร้านอาหารสไตล์เวสต์เทิร์นและบ้านเรือนน่ารักๆ แบบศตวรรษที่ 20 ก็มีให้ทุกคนได้เอ็นจอยสายตา

วันที่เราไป Disney-Magic Kingdom อากาศค่อนข้างครึ้มๆ และมีฝนตกลงมาช่วงบ่าย แต่ดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวต่างทราบสภาวะอากาศกันดีอยู่แล้ว ทุกคนจะเตรียมเสื้อกันฝนมาและดูจะไม่มีใครย่อท้อต่อการต่อคิวเข้าสู่เครื่องเล่น โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กใส่รถเข็น เห็นแล้วต้องยกนิ้วให้เพราะจะใช้พลาสติกคลุมเจ้าตัวน้อยที่นอนอยู่ข้างในไว้ แล้วไปต่อทันที…นี่เรียกว่าแฟมิลี่สปิริตจริงๆ 

นั่ง Roller Coaster ตามหา Winnie the Pooh

โซนสุดท้าย Fantasy Land ดูเหมือนจะเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดแล้วก็มีเครื่องเล่นให้เลือกมากที่สุด ครั้นเมื่อฝนเทลงมาทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปิดเครื่องเล่นเอาท์ดอร์บางอย่างเพื่อความปลอดภัย แต่ส่วนที่เป็นอินดอร์ยังเปิดให้บริการได้ปกติ เราเลยอาศัยจังหวะที่ผู้คนยังหลบฝนอยู่ เข้าไปต่อคิวตรงนั้นตรงนี้ตรงโน้นได้อย่างไม่ลำบากนัก เช่น it’s a Small World เหมือนการนั่งเรือรอบโลกแห่งการ์ตูนและเสียงเพลงอย่างเต็มอิ่มนานนับ 10 นาที 

ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ ก็แนะนำให้พามานั่ง Under the Sea Journey of the Little Mermaid ที่พาไปพบกับโลกใต้ทะเล นางเงือกสาว และฉากหลังของหนังดังเรื่องนี้ ส่วน The Many Adventures of Winnie the Pooh พาไปท่องป่าร้อยเอเคอร์ the hundred acre woods และผจญภัยไปกับเรื่องราวต่างๆ กับเจ้าหมีน้อยน่ารัก Winnie the Pooh การ์ตูนที่สร้างจากนิยายอมตะของ A. A. Milne ชาวอังกฤษ

หากต้องการเครื่องเล่นที่เสียวสันหลังวาบนิดหน่อย ก็ต้องไป Seven Dwarfs Mine Train เป็น Roller Coaster แบบรถไฟเหาะไม่ถึงกับตีลังกาแต่ก็พาผู้โดยสารท่องไปในเหมืองแร่ของคนแคระทั้ง 7 ที่ต้องลัดเลาะ เจาะเข้าไปในช่องเขาและดิ่งลงไปในหุบเหว เล่นเอาหัวใจเต้นตุ๊บๆ แทบจะต้องปั๊มกลับมาทีเดียว

พาเหรด Celebration ของพี่มิกกี้และผองเพื่อน

อย่างที่บอกล่ะครับ Disney-Magic Kingdom เค้าเป็น Theme Park ที่ใช้สโลแกนว่าโลกแฟนตาซีกลายเป็นจริง เครื่องเล่นส่วนใหญ่จึงพาเด็กๆ เข้าไปสู่ความเจิดจรัสแห่งจินตนาการ เหล่าเทพนิยายและการ์ตูนที่เคยเห็นแต่ในจอหนังนั้นพวกเขาสามารถสัมผัสได้ ทั้งเจ้าหญิงรูปงามและเจ้าชายสูงสง่าออกมาโบกมือทักทายหน้าปราสาท ไปจนถึงเหล่าฮีโร่นักผจญภัยและผองเพื่อนในนิยาย

ดังนั้น เครื่องเล่นก็จะมีทั้งแบบสนุกสนานและชวนฝันอย่าง Fairytale Garden สวนสวยที่ราชินีออกมาพูดคุยกับคุณหนูๆ อัศวินจะมาสอนยิงธนู หรือ Enchanted Tales With Belle ตัวการ์ตูนในนิทานที่สามารถพูดหยอกล้อกับคนดูได้ พร้อมๆ กับฉาก 3 มิติที่น่าหลงรัก

เราโบกมือลา Disney-Magic Kingdom ด้วย Musical Celebration พาเหรดสุดตระการตาของเหล่าตัวการ์ตูนก้องโลก Mickey Mouse, Donald Duck , Daisy Duck และ Goofy รวมถึง Cinderella แสนสวยและบรรดาคนแคระทั้งเจ็ด เคลื่อนผ่านตั้งแต่หน้าปราสาทจนถึง Main Street U.S.A มีนักท่องเที่ยวโบกมือ ร้องเพลง และเต้นรำไปกับจังหวะเพลงรีมิกส์สนุกสนานตลอดเวลา 

นี่ละความสุขแห่งโลกแฟนตาซีจริงๆ ลืมโลกของผู้ใหญ่ไปชั่วคราวครับ..ขอบคุณ Disney World ที่ช่วยให้วัยเยาว์ไม่ผ่านเลยเร็วเกินไปนัก