[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]
ถ้าฝรั่งเศสมี louvre พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์งานศิลป์ให้โลกได้รับรู้ถึงความงดงาม อเมริกาก็มี Smithsonian ที่เปรียบเสมือน Hall of Fame แห่งบรรพกาล ให้เกียรติเหล่าผู้สร้างสรรพสิ่งก่อนก้าวสู่ยุคศิวิไลซ์

พิพิธภัณฑ์ความรู้ร่วมสมัย 8 แห่ง ของสถาบันสมิธโซเนียน คือที่ๆ คุณสามารถเดินไปเยี่ยมชมได้ตลอดในย่านเมืองเก่าของวอชิงตันดีซี สถานที่เหล่านี้ล้วนอยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟใต้ดินบน National Mall อันโอ่อ่า

    1. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้านอากาศยานและอวกาศ (National Air and Space Museum)
    2. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยา (National Museum of Natural History)
    3. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา (National Museum of American History)
    4. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้านประวัติศาสตร์อเมริกันอินเดียน (National Museum of The American Indian)
    5. พิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแอฟริกันอเมริกัน (National Museum of African American History and Culture)
    6. หอศิลปะFreer Gallery of Art 
    7. หอศิลปะArthur M. Sackler Gallery
    8. พิพิธภัณฑ์ศิลปะแอฟริกัน (National Museum of African Art)

ก้าวเดินเพลินๆ ไปเพียงไม่กี่นาทีจากสถานีรถไฟ Smithsonian Station ก็จะเห็น The Castle ปราสาทสไตล์โกธิคสีต้ำตาลแดงของ Sandstoneโดดเด่นอยู่บนถนนเจฟเฟอร์สันเป็นสัญลักษณ์ว่าเรากำลังอยู่ในอาณาอาคารความรู้มหาศาลรายรอบ National Mall จุดศูนย์กลางของกรุงวอชิงตันดีซีแล้วล่ะ

      

นักท่องเที่ยวล้นทะลักสถาบันสมิธโซเนียน

Smithsonian สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1855 ออกแบบโดยสถาปนิก เจมส์ เรนวิค ผู้รังสรรค์โบสถ์ St.Patrick ในมหานครนิวยอร์ค ซึ่งถ้าใครเคยไปเห็นด้วยตามาแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นมหาวิหารอันหมดจดงดงามอย่างยิ่ง ทำให้รูปโฉมของอาคารสมิธโซเนียนในนครหลวงแห่งที่สอง ก็งดงามเฉกเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน The Castle ใช้เป็นสถานที่ให้ข้อมูลเหมือน อินฟอร์เมชั่นเซ็นเตอร์ เพื่อการเยี่ยมชมพิพิธิภัณฑ์หลักๆ ทั้ง 8 แห่งให้แก่ผู้สนใจ โดยมีไกด์อาสาสมัครคอยแนะนำพวกเราได้หมดทุกอย่าง

“Smithsonian เป็นสถาบันที่มีเครือข่ายพิพิธภัณฑ์และองค์กรวิจัยที่ใหญ่สุดในโลก เราสนใจในศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์และสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกือบ 138 ล้านรายการ

ในหนังสือ ‘Official Guide to the Smithsonian’ อธิบายความมหัศจรรย์ของสถาบันนี้ไว้ด้วยว่าทำหน้าที่ค้นหาและค้นพบในเรื่องศิลปการ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

สถาบันได้รวบรวมสะสมตั้งแต่ซากฟอสซิลดึกดำบรรพ์อายุ 3.5 พันล้านปีก่อน เงินทองเหรียญตราของจีนโบราณก่อนคริสตกาล เพชรเม็ดงามที่สุดในโลกอย่าง The Hope Diamond แม้กระทั่งภาพเขียนของประธานาธิบดีสหรัฐทุกคน ไปจนถึงโมเดลยานอพอลโลที่ลงจอดบนดวงจันทร์ครั้งแรก

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจอดีต ตัดสินใจเรื่องปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง และรักษาประวัติศาสตร์เอาไว้ ส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคต

ข้าวของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ทั้งหมด เป็นเพียงบางส่วนที่มีอยู่ของ Smithsonan แต่เพียงพอต่อการให้ความรู้แก่สาธารณะ เป็นแรงดึงดูดให้ครอบครัวจูงลูกหลานเข้ามาในช่วงสุดสัปดาห์ นิสิตนักศึกษาไขว่คว้าหาคำตอบเพื่อต่อยอดการเรียนรู้

ไปดูฉากหลังของหนัง Night at the Museum

ช่วงสัปดาห์ที่ผมอยู่วอชิงตันดีซี เป็นฤดูใบไม้ผลิแถมยังมี Cherry Blossom พอดี นักเดินทางจึงหลั่งไหลมากันทุกชาติทุกภาษา ไม่นับชาวอเมริกันเองที่ใช้เวลาพักผ่อนในดีซีกันอย่างมากมาย โรงแรมที่พักของเราคือ Hyatt Place ก็เต็มทุกห้อง กรุ๊ปนักเรียน เด็ก เยาวชน ผิวขาวผิวสีผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาไม่ซ้ำเลยทีเดียว

ช่วงที่ไปสมิธโซเนียนกำลังมีธีมรักชาติ ‘The Nation We Build Together’ เพื่อสอดรับหลากวาระ หลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ หนึ่งในนั้นคือการเฉลิมฉลองครบ 50 ปีการจากไปของ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์คิง นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนคนผิวสีของสหรัฐอเมริกา

ผมมีเวลาอยู่ที่วอชิงตันดีซี 4 วัน คิดว่าจะใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม เพื่อทำความรู้จักกับสมิธโซเนียน จึงวางแผนไปจุดไฮไลต์ Museum of National History และ Museum of American History แล้วหากเวลาเหลือพอในทริปนี้คงมีโอกาสได้เข้าไปในส่วนอื่นๆ ต่อไป

National Museum of Natural History ชื่อนี้ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้เลยล่ะครับเพราะคือฉากหลังของหนังเรื่อง Night at the Museum อันโด่งดังทั่วโลก ยิ่งทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชีวิตชีวา ผู้คนคราคร่ำมากยิ่งขึ้น ผมเพิ่งเคยเห็นการมาพิพิธภัณฑ์ ที่ยังกะไป มหกรรมอะไรสักอย่าง คนต่อคิวเข้าสู่ใจกลางพิพิธภัณฑ์ยาวเหยียดไปเกือบร้อยเมตร ไม่น่าเชื่อพวกเขาต่างเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ข้ามไทม์โซนมา เพื่อย้อนเวลาไปสู่อดีตและโหยหาความรู้ความเข้าใจ ความเป็นไปของโลกใบนี้

Museum of National History แบ่งพื้นที่เป็น 3 ชั้น ควรเลือกก่อนเลยว่าพุ่งเป้าสนใจความรู้ประเภทใดก็ปักหมุดเอาไว้ ไปถึงก็ตรงดิ่งโซนนั้นๆ เลยจะได้ไม่เสียเวลา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่จัดแสดงใน Natural History มีนับแสนๆ ชิ้น

Rotunda ช้างแห่งแอฟริกาและปลาวาฬ Phoenix

ผมเริ่มสำรวจจากชั้น Ground เป็นห้องนิทรรศการที่อธิบายถึงความสำคัญของหินก้อนเล็กๆ แร่ธาตุไปจนถึงดวงดาว อุกาบาต ตั้งแต่ยุคจูราสสิคถึงศตวรรษที่ 21 ช่วยไขปริศนาฟากฟ้ากาแล็กซี่ อันกว้างใหญ่ไพศาล ก่อกำเนิดจักรวาลและปรากฎการณ์ Big Bang

มิวเซียมเปิดให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์กับวัตถุเหล่านี้ด้วยมือตัวเอง สร้างชีวิตชีวาไม่น่าง่วงหงาวหาวนอนแต่อย่างใด พร้อมด้วยโรงหนัง 3D IMAX ห้องแสดงคอนเสิร์ต เรียกว่าอินเตอร์แอคทีฟกับวัยรุ่นอย่างเต็มที่

ใครสนใจชีวิตเจ้าช้าง Rotunda สายพันธ์ุอาฟริกาที่สุง 13 ฟุต 2 นิ้ว น้ำหนัก 12 ตันในยามที่มันเชิดคออยู่ในป่าดิบและทุ่งหญ้า หูของมันสามารถได้ยินเสียงได้ไกลหลายไมล์ ก็ขอแนะนำให้เดินขึ้นมาที่ชั้น 1 (First Floor) ตรงนี้ถือเป็นศูนย์กลางของพิพิธภัณฑ์ รูปจำลองของมันก็คือไอคอนที่คอยต้อนรับผู้มาเยือนอย่างแท้จริง

ระหว่างที่นักท่องเที่ยวกำลังเซลฟี่กับพี่เบิ้มงายาวตัวนี้ ผมเดินขึ้นไปหามุมสวยถ่ายบนระเบียงมิวเซียมซึ่งมีทั้งหมด 8 ด้าน เหมือนภาพ Bird Eye View ได้เห็นความอลังการของ Rotunda สูงสง่าและงดงามจริงๆ

บริเวณ ชั้น 1 ยังมีห้องนิทรรศการ The Sant Ocean Hall ไอคอนคือเจ้าปลาวาฬแห่งมหาสมุทรแอตแลนติคเหนือนามว่า Phoenix เหมือนกำลังลอยละล่องอยู่เหนือท้องทะเล นับเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับฟอสซิลใต้ผิวน้ำ บอกเล่าเรื่องราวที่แสดงว่า…ครั้งหนึ่งโลกมีเพียงมหาสมุทรเดียวเชื่อมโยงกันก่อนที่จะกำเนิด Life รวมถึงตัวเราด้วย

The Sant Ocean Hall ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นแกลเลอรี่ทางสมุทรศาสตร์ทั้งภาคพื้นดินและเมื่อมองจากอวกาศที่ใหญ่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่าที่มนุษย์เคยบันทึกเอาไว้

ถ้าคุณเข้าไปใน David H.Koch Hall of Human Origins ซึ่งเพิ่งเปิดมาได้ 8 ปี ก็จะพาคุณไปสำรวจวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เรามาจากไหน? บรรพบุรุษของเราที่แท้แล้วคือใคร? พวเขาถือกำเนิดขึ้นเมื่อไหร่? ซึ่งนั่นหมายถึงการย้อนเวลาไปเมื่อ 6 ล้านปีก่อน บอกเล่าเรื่องผ่านฟอสซิล โครงกระดูก และใบหน้าของมนุษย์ถ้ำ ที่สถาบันสมิธโซเนียนได้เก็บรักษาไว้อย่างดี 280 ชิ้น

ชม Blue Dimond ที่ใหญ่สุดในโลก

นอกจากผมจะสนใจในความลี้ลับ ของโลกและดวงดาวแล้ว ก็ตั้งใจมาดูอัญมณีชื่อดัง ที่เรียกขานว่า ‘The Hope Diamond’

เพชรสีน้ำเงินจรัส Blue Dimond เม็ดใหญ่สุดในโลก จัดแสดงอยู่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร (Second Floor) ซึ่งเป็นที่รวมของหมวดหมู่นิทรรศการ ด้านธรณีวิทยา อัญมณี และแร่ธาตุทุกสิ่งอย่างในโลกนี้

ทางพิพิธภัณฑ์เขียน Story ของ The Hope Diamond เอาไว้ว่า “a must-see for visitors”

แน่นอนผลึกที่ทรงคุณค่า ความงดงาม และแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี น้ำหนัก 45.52 กะรัต ล้อมรอบด้วยเพชรสีขาว ส่องประกายแพรวพราว ระยิบระยับ

มหาอัญมณีดังกล่าวทางสถาบันสมิธโซเนียน ได้รับการอุทิศให้เป็นสมบัติของสาธารณะ จาก บริษัท Harry Winston ที่ทำธุรกิจด้านจิวเวลรี่ในนิวยอร์คเมื่อปี 1958 และตั้งชื่อตามเจ้าของคนสุดท้ายนามว่า Henry Philip Hope

สถาบันยกย่อง The Hope Diamond ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและเป็น ‘National Gem Collection’ แห่งสหรัฐอเมริกา…

อัญมณีที่ดำรงอยู่บนโลกมากว่าพันล้านปี
นับจากวันที่จุดประกายอยู่ใต้พื้นพิภพ
ผ่านวันที่มหาสมุทรแอตแลนติกสาดซัด เหือดแห้ง และซัดสาดอีกครา
ผ่านเวลาที่หมู่ไดโนเสาร์ย่างกรายและดับสูญ
ก่อนมนุษยชาติก่อกำเนิดและขยายเผ่าพันธุ์ไปบนพื้นผิวโลก
ความร่ำรวยทางประวัติศาสตร์อันเปี่ยมไปด้วยมนตราและเสน่หา เนิ่นนานมากว่า 3 ศตวรรษ
สร้างหนึ่งในรัตนชาติชิ้นสำคัญ อันถูกกล่าวขานมากที่สุดในโลก

THE HOPE DIAMOND HAS EXISTED FOR MORE THAN A BILLION YEARS.

Since it formed deep within the Earth ….
… the Atlantic Ocean has opened,
closed, and opened again.
…the dinosaurs have come and gone.
…humans evolved and spread across
the face of the Earth.

……

Over the past three centuries, a rich human
history full of mystery and intrigue has made
it one of the world’s most famous gemstones.

ถ้าใครสนใจเรื่องอัญมณี สินแร่ Stardust หินจากดวงจันทร์ และคริสตัลต่างๆ แกลเลอรี่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีให้คุณชมจนไม่รู้เบื่อถึง 2,500 ชิ้น

Museum of National History คือสถานที่ๆ หยิบยื่นกุญแจแห่งความรู้ ไขประตูปริศนา หาคำตอบของสรรพสิ่ง ซึ่งจะทำให้ทุกคนเปลี่ยนมุมมองต่อโลกใบนี้และวิถีชีวิตของตัวเราเอง

การท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์เป็นประโยชน์มากครับ ได้สำรวจความเป็นมาอันยาวนานก่อนโลกจะถูกเรียกขานว่า ศิวิไลซ์  ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยี ตึกระฟ้า เหรียญตราประทับ ทรัพย์สมบัติ หากแต่มันคือ ความสว่างล้ำค่าทางปัญญาที่ฉายให้เห็นวิวัฒนาการของเวลา เกื้อหนุนให้มนุษย์เรียนรู้ที่มา ดำรงรักษาและต่อยอดไปสู่อนาคตกาล