ตั้วโปรโมชั่นจากดอนเมือง ไปสุราบายา ราว 5 พันกว่าๆ ไม่รีรอตัดสินใจจับจอง เพียงแต่ต้องแลกด้วยระยะเวลาการเดินทางกว่า 8 ชั่วโมง …แม้อินโดเซียจะอยู่ในอาเซียนภูมิภาคเดียวกับไทยก็ตาม…แต่ต้องรอต่อเครื่อง 2 ไฟล์ เพื่อไปถึงสุราบายา เมืองหลักของชวาตะวันออก…
จากดอนเมืองราว 9 โมงเช้า ถึงสุราบายาเกือบ 6 โมงเย็น เอเยนต์ทัวร์มารอรับอยู่แล้ว จากสนามบินสุราบายา ถึงที่พักตอนตีหนึ่ง “Tampuk Sewu homestay” …ออกจะอึ้งนิดๆของสภาพโฮมสเตย์แบบท้องถิ่น ภายนอกอาจจะดูเหมือนไซต์งานก่อสร้างหน่อยๆ เมื่อทำความคุ้นชินได้แล้ว…ก็หลับเป็นตาย จากการเดินทางมาทั้งวัน
รุ่งขึ้นเช้า 7 โมง ไกด์หลัก พร้อมไกด์ท้องถิ่น พาพวกเราเดินจากที่พักไปยังน้ำตก “Tampuk Sewu” ที่อยู่ไม่ไกลจากโฮมสเตย์ … จึงร้องอ๋อ! ทำไมไกด์ถึงพาพวกเรามาพักที่โฮมสเตย์แห่งนี้
แรกพบจากภาพมุมสูงมองลงไปที่น้ำตกขนาดใหญ่ ความสูงน่าจะไม่ต่ำกว่า 300 เมตร ห้อมล้อมด้วยป่าเขียวอุดมสมบูรณ์ สวยงามมาก
ทีเด็ด!…ไม่ใช่แค่ชมและถ่ายรูปในตำแหน่งมุมสูง แต่ไกด์บอกว่าเราต้องเดินลงไปข้างล่างเพื่อชมความอลังการของน้ำตกแบบใกล้ๆ
การผจญภัยเริ่มต้นขึ้นแล้ว!!!…เบสิคจากปีนป่ายขั้นบันไดปูน บันไดดิน บันไดไม้ไผ่ที่ลาดชัน แอดวานส์ไปสู่ชะง่อนขั้นหินตามการไหลของน้ำตก หากก้าวพลาดพลั้ง ลื่นเป็นอันต้องไหลไปตามกระแสน้ำแรงจากที่สูงลงที่ต่ำ คาดการณ์ไม่ได้ถึงอาการบาดเจ็บเลยทีเดียว โชคดีที่มี 2 หนุ่มไกด์ช่วยพยุง ดึง ส่งเหล่าป้าให้ปลอดภัย
… ตะเกียกตะกาย ลุยน้ำ จนไปถึงที่หมาย… พวกเรายืนอยู่กลางป่า โอบล้อมด้วยน้ำตกขนาดใหญ่ กวาดตามองรอบ เสพความงดงามแบบ 360 องศา ชะโลมความชุ่มช่ำจากละอองน้ำที่กระเซ็นมาจากน้ำตก โอ้ววว…ฟินส์เหมือนอยู่ในฉากหนัง
จากน้ำตกออกเดินทางบ่ายๆไปยัง Kawah Ijen ภูเขาไฟที่ดับสงบแล้ว นั่งรถไปกันจนเมื่อย ใช้เวลาอีกกว่า 5 ชั่วโมง…ถึงโรงแรมที่พักดีมั่กมาก แต่เรานอน กันได้แค่ 3-4 ชั่วโมง ก็ต้องตื่นออกเดินทางตอนตีหนึ่ง เพื่อไปดู Blue Flame แสงสีน้ำเงินที่เกิดจากการเผาไหม้แร่กำมะถัน เงื่อนไขคือ เราจะได้เห็นได้ ต้องก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น!!!
ระยะทาง 3 กิโล ถ้าเป็นทางราบก็ถือว่าไกลระดับหนึ่ง แต่ที่นี่เพิ่มความยากด้วยความชัน ที่บางจุดชันมากกกก…เดินแค่ 10 ก้าว หอบแห่กๆ ต้องหยุดพักกันถี่ๆ
ระหว่างทางกลิ่นกำมะถันโชยฉุนขึ้นๆ เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว เดินเร็วเพื่อให้ทันดูแสงน้ำเงิน แต่พระอาทิตย์มาเร็วเกินสังขาร ถึงปากปล่องภูเขาไฟ …ฟ้าสว่างจ้าแล้ว เราเลยพลาดดู Blue Flame
แต่ก็ไม่ละพยายาม ขอปีนป่าย ไต่ก้อนหิน ลงจากปากปล่อง ไปชมทะเลสาบ Kawah Ijen ก็ยังดี แม้จะมีคำเตือนถึงอันตรายก็ตามแต่…อิอิ
ทางลงที่แคบ หินลื่นซุย รองเท้าที่ใส่สบาย แต่อาจจะไม่เหมาะกับการปีนป่าย ก็ทำให้ล้มลุกคลุกคลานโชว์ผู้คนไปหลายรอบ เรียกว่าชินความอายกันเลยทีเดียว
ระหว่างทางปีนป่าย สวนกับคนหาบกำมะถันหลายสิบกิโลขึ้นจากปากปล่อง แข็งแรงมาก… ขนาดน้ำหนักในกระเป๋าเป้บนหลังไม่ถึง 2 กิโล ยังนับว่าเป็นภาระหนักเอาการ
การหายใจผ่านหน้ากากกรองอากาศ…ทำให้เหนื่อยกว่าปกติ จะถอดใจเป็นระยะ… แต่สีฟ้าเทอร์คอยซ์ของทะเลสาบ เชิญชวนอยู่ริบๆ …
ตะเกียกตะกาย กระทั่งไปถึงริมทะเลสาบ พบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ภูเขาไฟที่เคยปะทุพวยพุ่งไฟและลาวา เมื่อดับลง กลางปล่องกลับกลายเป็นทะเลสาบสีสวยใส ล้อมรอบด้วยเหมืองกำมะถัน…กับร่องรอยสภาพทางไหลของลาวา
หากแต่ความงามที่ชวนให้หลงไหล ก็แฝงด้วยอันตรายความเป็นกรดจากสารละลายกำมะถันที่สูงมาก ชื่นชมได้พอประมาณ เซฟร่างกายจากการสูดดม ก็ต้องรีบปีนขึ้นกับปากปล่อง
ถึงคราวต้องเดินลงทางเดิมอีก 3 กิโล.. ขาลงไม่เหนื่อย แต่ยากในการพยุงตัวเดินลงบนพื้นที่ลาดชัน และลื่นจากดินที่ร่วนซุย…
ใช้เวลาเดินทางต่อไปยังโบรโม่อีกประมาณ 4 ชั่วโมง ไปยังหมู่บ้านเซโมโร ลาวัง… ถึงช่วงเย็น ที่พักวิวดี นั่งริบระเบียง จิบชาร้อนๆ อากาศเย็นๆ ในบรรยากาศโพล้เพล้…มองเห็นวิวภูเขาไฟแบบอยู่เบื้องหน้าแบบพาโนราม่า…
วันรุ่งต้องออกเดินทางตี 3 นั่งรถจิ๊ปไปยังจุด Penanjakan point เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น…ไปถึงก็พบกับนักท่องเที่ยวจับจองที่นั่งกันเกือบเต็มพื้นที่แล้ว
อากาศหนาวเย็น ลุ้นกับแสงอาทิตย์ ปากสั่น มือแข็ง…ฟ้าที่ยังมืดครื้ม เห็นเงาภูเขาอยู่ริบๆ แสงสีส้มค่อยๆสาดแสงจากด้านซ้าย ให้เห็นภูเขาไฟ 3 ลูก ตั้งสลับสับหว่างอยู่เบื้องหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ…
…จากลูกด้านหลังคือภูเขาไฟ “เซเมรู” ด้านหน้า ”บาต๊อก” ภูเขาไฟที่ดับแล้ว และลูกกลางภูเขาไฟโบรโม่ ที่ยังไม่ดับ ยังคงพ่นเถ้าถ่านตลอดเวลา เป็นสัญญลักษณ์ชวาตะวันออก ต่างให้ฉายาว่าเป็นลมหายใจของเทพเจ้า…นั่นไงเราเจอแล้ว!!!
ภาพรีวิวที่ว่าสวยแล้ว เทียบไม่ได้กับสัมผัสจริงด้วยสายตา…สวยงาม อลังการ มีมนต์ขลัง ลมหายใจอันยิ่งใหญ่ที่ดึงดูดให้ตกหลุมรักกันเลยทีเดียว
จากจุดชมวิว…ที่เห็นภูเขาแค่ลูกเล็กๆ รถจิ๊ปพาเราไปถึงภูเขาแบบจับต้องได้…จุดจอดรถห่างจากภูเขาราว 2 กิโล สามารถเช่าม้าขี่ขึ้นไปได้ สนนราคา 150,000 รูปี หรือประมาณ 300 บาท ไป-กลับ
ม้าส่งเกือบถึงปากปล่อง ต้องเดินเท้าขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 100 เมตร …ทางเดินบนปากปล่อง นักท่องเที่ยวสามารถเดินได้รอบ แต่ต้องระมัดระวัง เพราะทางแคบ เป็นสันทรายที่ค่อนข้างร่วนซุย มองลงจากปากปล่อง ด้านหนึ่งโพลงมืดดำดิ่ง ที่พ่นเถ้าถ่านขาว ดูพิศวง น่ากลัวพิกล … อีกด้านเป็นวิวมุมสูง มองลงด้านล่างพาลให้ขาสั่น …
สายแล้ว อุณหภูมิเริ่มสูง แดดจ้า เราแค่ขอขับผ่านไปทักทายกับทุ่งหญ่าเขียวสะวันน่า (savanna) และ Whispering Sand หรือ เนินทรายกระซิบ… ทรายละเอียดสีดำที่เกิดจากเถ้าถุลีของภูเขาไฟ ลมพัดจะเห็นเป็นริ้วทรายฟุ้งกระจาย เกิดเสียงเบาๆ ดังเสียงกระซิบจากผืนทราย
กลับที่พัก เก็บกระเป๋า…เดินทางกลับเข้าเมืองสุราบายา…แต่ระหว่างทางแวะน้ำตก Madakaripura ในหมู่บ้าน Sapih ที่ตามตำนานเล่าว่า เป็นสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานของแม่ทัพทหาร “มาดาคาริปูรา” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชวาในสมัยโบราณ
ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปราว 2 กิโลเมตร และเดินเท้าทางราบเข้าอีกราว 1 กิโลเมตร พบกับน้ำตกขนาดใหญ่ที่ซ้อนตัวในหุบเขา Probolingo ความสูงราว 200 เมตร ลักษณะเหมือนเป็นห้องแห่งน้ำตก ที่แหงนคอมอง เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านเพดาน ปะทะกับความเขียวชะอุ่มอุดมสมบูรณ์ของพืชพรรณที่ปกคลุมผนังน้ำตก ความสวยงามอลังการ เพิ่มความชุ่มช่ำละอองน้ำ ฟุ้งกระจายจากแรงไหลและปะทะของน้ำตก…ฟินกันอีกรอบ
น้ำตกแห่งนี้ แม้การเดินทางไม่ยาก และไม่ผจญภัยเท่ากับน้ำตก Tumpak sewu แต่คะแนนความอลังการและสวยงามสูสีเลยทีเดียว
เดินทางถึงตัวเมืองสุราบายาก็ค่ำพอดี…สลบหลับจบทริปแห่งการผจญภัยครั้งหนึ่งในชีวิต…เป็นการเดินที่บอกให้เรารู้ว่า เมื่อเราคิดว่าอ่อนแอ เราจะเราจะหมดแรง …ทว่าเมื่อคิดว่ามีพลัง ก้าวข้ามความเหนื่อย เมื่อยและล้า ระยะทางและความชัน แค่เป็นอุปสรรค สุดท้ายเราก็ฝ่าฟันไปได้ เหนื่อยจริง แต่สนุกที่ได้พิชิต จนได้พบกับความยิ่งใหญ่ สวยงามของธรรมชาติ…สุดท้ายคือมันคือความปลื้มปริ่ม และอิ่มเอม
———————————–