[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]
ผมกำลังออกจากเมือง Dunedin มีจุดหมายปลายทางที่ Franz Josef Gracier ปฏิมากรรมธรรมชาติและแกลเลอรี่ริมชายหาดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยต้องขับรถข้ามเส้นทางเลียบทะเลฝั่งตะวันออก…สู่ตะวันตกของเกาะใต้

ในเช้าของวันที่ฝนโปรยปรายเบาๆ เราขึ้นเหนือมาตามถนนหมายเลข 1 เส้นทางที่ไม่อยากให้พลาดการแวะที่เมือง Oamaru ห่างไปประมาณ 120 กิโลเมตร ยลหินมหัศจรรย์ที่มีรูปทรงกลมเหมือนดวงจันทร์สีเทาหรือ The Moeraki Boulders

จุดชมวิวของชายหาดมีร้านกาแฟและอาหารที่น่ารักๆ สามารถพักดื่มด่ำรสชาติแบบพื้นเมืองนิวซีแลนด์ ในวันที่ไปถึงมีนักเดินทางหลายชาติหลายภาษารวมทั้งชาวเอเชียกำลังดื่มด่ำกาแฟและภูมิทัศน์

จริงๆ เมือง Oamaru ไม่ใช่ทางผ่านแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของเกาะใต้ ใครที่ชอบดูนกเพนกวินตาสีฟ้าแล้วพวกแมวน้ำ คงต้องใช้เวลามาสัมผัสอย่างลึกซึ้งสักวันสองวันขึ้นกับสภาพอากาศและธรรมชาติด้วยเป็นปัจจัยที่บังคับกันไม่ได้

ทางเดินลงสู่ชายหาดอยู่ติดกับร้านอาหาร เมื่อเท้าผมสัมผัสผืนทรายและมองไปรอบๆ ทัศนียภาพที่นี่บอกเลยว่าแปลกตาจริงๆหินก้อนใหญ่กลม เกลี้ยง หมดจดงดงาม เหมือนพระเจ้ารังสรรค์มาเป็นของขวัญให้แก่โลก เรียงรายอยู่ริมทะเล

The Moeraki Boulders มีอายุราวๆ 60 ล้านปี ล่วงมาแล้วและน้ำหนักของมันแต่ละก้อนอย่างน้อยก็ 3-4 ตันขึ้นไป ส่วนใหญ่ถูกคลื่นซัด-ขัดจนผิวนั้นเรียบเกลา แต่บางส่วนจะสังเกตว่าเริ่มปริร้าวเป็นลวดลายแปลกตาซึ่งก็สวยไปอีกสไตล์

คู่รักคู่นึงคงจะมาฮันนีมูนกันที่เกาะใต้ ใช้บรรยากาศสุดโรแมนติกบนชายหาดแห่งนี้ ยืนตระหง่านบนก้อนหินที่เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง มีมหาสมุทรเป็นสักขีพยานและเสียงคลื่นเป็นดนตรีบรรเลงรื่นรมย์ เธอและเขาบรรจงจุมพิตกันเบาๆ ช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร

ตู้ไปรษณีย์แห่งความรัก

ท้องฟ้าที่เคยมัวๆ มาตั้งแต่ Dunedin เริ่มเปิดแล้ว แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายส่องประกาย เมื่อเราขับรถออกจากพื้นที่ชายทะเลมุ่งสู่แผ่นดินใหญ่ตอนกลางของเกาะใต้ ถนน Post Office Gully Road เชื่อมต่อมายัง Crown Hill Road เต็มไปด้วยฟาร์มเลี้ยงแกะ ชุมชน โบสถ์ และเหมืองแร่ที่ถูกทิ้งร้าง ป้ายบอกทางเขียนว่าถนนนี้เป็น Scenic Routh มุ่งสู่ชายฝั่งตะวันออก

ทางนี้ไม่ใช่ถนนหลักที่นักท่องเที่ยวใช้สัญจร สังเกตเห็นส่วนมากเป็นคนท้องถิ่นนิวซีแลนด์หรือไม่ก็ชาวเมืองใหญ่ที่ต้องการใช้เวลาสุดสัปดาห์มาพักผ่อนตามแคมป์ตากอากาศในชนบท ซึ่งบางจุดตั้งอยู่ริมแม่น้ำให้ตกปลาหรือล่องเรือเล็กๆ ได้ 

ชาวนิวซีแลนด์บางคนนิยมพักแบบฟาร์มสเตย์ Bed and Breakfast ช่วงวันหยุดยาว จับกลุ่มกันออกมาขี่จักรยานชมวิวธรรมชาติ เพราะถนนในท้องถิ่นรถราผ่านไปผ่านมาน้อยมาก อากาศก็บริสุทธิ์ มีชุมชนที่ทำปศุสัตว์พวกแกะหรือวัว นับเป็นทัศนียภาพแปลกตาให้เราได้เก็บภาพดีๆ ไปตลอดเส้นทาง

ตู้ไปรษณีย์จะมีประจำหน้าบ้าน กล่องรับจดหมายตั้งอยู่ริมถนนสีสดใส รอคอยผู้คนจากแดนไกลส่งข้อความบอกเล่าเรื่องราวผ่านมา บางอันสะดุดตา น่ารัก และทำให้รู้สึกโหยหาวันเวลาเก่าๆ ที่เราจะคุยกับคนรักซึ่งพักอยู่แสนไกลผ่านโลกของตัวอักษร Adress หน้าซองเหล่านั้นล้วนซ่อนความคิดถึงเอาไว้ ก่อนจะสัมผัสมือผู้รับที่อยู่ปลายทาง

ผมแวะพักที่ทะเลสาบ Wanaka หนึ่งคืนเป็นห้องพักของ YWCA ซึ่งครอบครัวของเราชอบกันเป็นพิเศษ เพราะได้เจอกับเพื่อนชาวต่างชาติ ต่างภาษาที่มาจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะระหว่างอาหารเย็นที่ทุกคนจะซื้อข้าวของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตมาปรุงกันแบบง่ายๆ ล้อมวงกินกัน แอบดูกระทะข้างๆ ว่าทำอะไรพิศดารแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็ง่ายๆ เช่น ต้มซุป เนื้อไก่ แซลมอน อบพิซซ่า จะมีก็คนจีนที่จัดเต็มหน่อยก็จะหุงข้าวและผัดผักซึ่งต้องบอกว่าน่ากินมากๆ

ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นตอนกลางคืน ผมเดินออกไปสำรวจร้านรวงรอบๆ Wanaka มีเรสเตอรองค์ชวนนั่งจิบอะไรเบาๆ บางร้านออกแบบได้อย่างเลิศเลอเพอร์เฟกต์ และหนึ่งในนั้นคือร้านอาหารไทย แต่ผมก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะเกรงว่าเจ้าของอาจไม่ใช่คนไทยจริงๆ ก็ได้

ตอนสายๆ ครอบครัวของเราแวะไปเที่ยวที่ Puzzling World ซึ่งอยู่นอกเมือง Wanaka เล็กน้อย ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่อเมซิ่งครับ แต่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็ชอบเหมือนกัน 

เครื่องเล่นแนะนำคือทางเดินปริศนา รับรองว่ากว่าคุณจะหาทางออกได้ก็ต้องหลงแล้วหลงอีก ส่วนภายในอาคารจะมีห้องต่างๆ ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาสร้างความประหลาดใจ เล่นกับรูปทรงและโมเมนตัมต่างๆไม่รู้เจ้าของเค้าคิดได้อย่างไร แต่บอกได้เลยว่ามีรอยยิ้มและรอยหยักในสมองกลับมาแน่น

เส้นทางสายธรรมชาติ The Haast Pass Highway

เรามุ่งสู่ถนนอีกสายหนึ่งที่เปรียบเสมือนประตูเชื่อมสู่ชายทะเลฝั่งตะวันตก แล่นผ่านทางหลวงหมายเลข 6 หรือ Haast Pass Area ซึ่งได้รับการยกย่องถึงธรรมชาติแสนอัศจรรย์ เทือกเขาสูง ป่าดิบ น้ำตก ทะเลและต้นไม้รูปทรงแปลกๆ 

เส้นทางถูกค้นพบช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยนักเดินทางและนักสำรวจชาวเยอรมัน Julius von Haast …เรื่องเล่าขานกันว่าตรงนี้มีผู้คนพบขุมทองและกวางอาศัยอยู่จำนวนมาก แน่นอนนั่นได้ดึงดูดผู้คนเข้ามาอาศัยกลายเป็นเมือง Haast ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่คือชาวเยอรมันและอิตาลีอพยพมาไขว่คว้าหาอนาคต

ก่อนที่รัฐบาลจะเปิดเส้นทาง The Haast Pass Highway ในปี 1965 ถนนเต็มไปด้วยรอยเท้าของชาวเผ่าเมารีที่อยู่อาศัยและใช้เป็นทางทำมาค้าขายกับคนผิวขาวมาก่อน เรียกขานว่า Tiori-patea หรือแปลว่า the way ahead is clear พื้นที่แห่งนี้ได้รับยกย่องเป็น World Herritage เมื่อปี 1990 นับเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของนิวซีแลนด์ที่รอให้ทุกคนได้มาสัมผัส

ผมเริ่มนับหลักกิโลเมตรไม่ถูกแล้ว เพราะเพลินกับการชมทิวทิศน์สองข้างทางที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ ทุกๆ เฟรมภาพแปรเปลี่ยนไปตามภูมิประเทศที่ผ่านมาเราจอดแวะน้ำตก Fantail Falls ที่ไหลลงมาจากหน้าผา เดินเลาะลำธารที่ทอดยาวมาจากเทือกเขา สายรุ้งทอดยาวสุดสายตาเท่าที่ชีวิตนี้เคยเห็นมา 

สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ปกติแล้วรุ้ง 7 สายจะโค้งลงมากินน้ำแบบครึ่งวงกลม แต่ที่นี่..สายรุ้งช่างประหลาดนัก มันพุ่งตรงจากบนลงล่างการได้พบรุ้งถึง 3 สายในวันเดียวกัน เป็นปรากฎการณ์ที่ผมคงจะไม่มีวันลืมบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของท้องฟ้าที่บรรณาการของขวัญอันสวยงามแก่ผืนโลก คงเพราะนิวซีแลนด์ปกปักษ์รักษาทุกสิ่งที่พระเจ้าให้มา อนุรักษ์ทุกอย่างที่ก่อกำเนิดบนแผ่นดินนี้ให้คงสภาพ เหมือนดังมรรคาอันอ่อนเยาว์ และหลับใหลอยู่ในความฝันแห่งครรภ์มารดา

หนอนเรืองแสงระยิบระยับในผืนป่า

คืนนี้ผมพักที่ 10 Cottages Franz Josef Gracier ถามว่าบนเทือกเขาน้ำแข็งหิมะแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเกาะใต้ มีที่พักมากมายแล้วทำไมเราจึงเลือกรีสอร์ทเล็กๆ แห่งนี้….ความพิเศษของที่นี่คือบ้านพักอยู่ติดกับแหล่งดู หนอนเรืองแสง หรือ Glowworm กระจายตัวอยู่บนผืนป่าริมเชิงเขา เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าสัตว์มหัศจรรย์แห่งนิวซีแลนด์นั่นเอง

Glowworm ไม่ใช่สัตว์หายากหรือใกล้สูญพันธุ์อะไร แต่แหล่งชุกชุมของมันไม่ได้พบกันบ่อยๆ ส่วนใหญ่คนไทยชอบไปดูที่เกาะเหนือบริเวณถ้ำ Waitomo Glowworm Caves คล้ายๆ กับเมืองไทยถ้าเราจะดูหิ่งห้อยต้องไปสมุทรสงคราม แต่ผมเลือกที่จะดูมันอยู่ตามธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบ

เจ้าของรีสอร์ทนัดหมายผู้ที่มาพักตอน 2 ทุ่ม เพราะเป็นช่วงที่ฟ้ามืดสนิทพอสมควรและไม่มีแสงไฟรบกวน มีฝรั่งมาพักที่นี่เยอะมาก ไม่ค่อยเห็นคนเอเชียหรือพูดได้ว่าไม่มีเลยก็ได้ มีทางเดินเข้าไปสู่ผืนป่าโดยใช้แสงจันทร์ส่องนำทาง ท่ามกลางความมืดสนิท ดวงตาทุกคนเบิกกว้างเพียงไม่นานเราก็พบกับบรรดา Glowworm ระยิบระยับเต็มพงไพร มองไปจุดไหนก็จะมีเจ้าหนอนเรืองแสงเปล่งความเจิดจ้าออกมาเรื่อยๆ สีของมันออกโทนเขียวจางๆ แตกต่างจากหิ่งห้อย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความน่ารักน่าทนุถนอม วงจรชีวิตของมันช่างให้ความหวังแก่ผู้คนเสียนี่กระไร

ธารน้ำแข็งสีฟ้าอัญมณีแห่งเกาะใต้

เราออกไป Franz Glacier แต่เช้า อีกไฮไลต์หนึ่งของทริปนี้ เส้นทางภูเขาน้ำแข็งที่เอ่อล้นลงมาเป็นธารสายสีฟ้า ผมขับรถออกจาก 10 Cottages ไม่นานประมาณ 5 กิโลเมตร สายน้ำยะเยือกเบื้องล่างแปรเปลี่ยนเป็นทางลาดชันขึ้นเขา พื้นที่แห่งนี้คือผืนป่าของอุทยานแห่งชาติ Westland Tai Poutini National Park 

ทุกๆ ปีจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 250,000 คนมายลโฉมธารหิมะที่ไหลรินจากเทือกเขาแอลป์ความยาวหลายกิโลเมตรก่อนจะไหลออกไปยังทะเล Tasman เหล่านักเดินทางทุกคนจะต้องลงจากรถด้านหน้าแล้วเดินต่อไปยังจุดชมวิว แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ อากาศหนาวนิดนึงแต่สบายกว่าเดินกลางแดดช่วงบ่าย

พื้นที่แห่งนี้ค้นพบโดยนักสำรวจชาวเยอรมันคนเดิม Julius von Haast และตั้งชื่อภาษาอังกฤษตามพระนามของกษัตริย์แห่งออสเตรียหรือเรียกขานในภาษาเมารีว่า Kā Roimata o Hine Hukatere …หยาดน้ำตาของ Hine Hukatere หญิงสาวที่สูญเสียคนรักจากการปีนเขาน้ำแข็งแห่งนี้

การเดินเข้าไปชม Franz Glacier ไม่ยากเย็นอะไร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงไปและกลับ ขึ้นกับตัวคุณเองที่จะแวะถ่ายรูปกับน้ำตก ซึ่งนับๆ ดูแล้วมีถึง 4-5 สาย ไหลบ่าลงมาจากเทือกเขาก่อนเราเข้าสู่ Terminal ที่สามารถดูธารน้ำแข็งได้อย่างใกล้ชิดห่างไปประมาณ 150-200 เมตร แต่ถ้าต้องการดูแบบวิวพาโนรามา ใกล้เข้าไปอีกคงต้องมีไกด์คอยแนะนำทางและใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

หลายคนใช้วิธีซื้อแพคเกจทัวร์ที่มีให้เลือกหลากหลาย ส่วนใหญ่นิยมขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อชมธารน้ำแข็งแบบ Bird Eye View สนนราคาก็ประมาณ 200 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ต่อคน ใช้เวลาบินประมาณ 30-40 นาทีตั้งแต่เราเดินทางมาก็ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์บินวนไปไม่ขาดสายแสดงว่าอากาศเปิดเหมาะกับการชมทัศนียภาพจริงๆ

หลายคนยกย่องว่า Franz Glacier คืออัญมณีของฝั่งทะเลตะวันตกใช่เลยมันเปล่งประกายสวยงามจริงๆ น้ำแข็งสีฟ้าอ่อนบนเทือกเขาสีเทาเข้มเพชรเม็ดนี้อยู่บนแหวนที่น้ำงามสุดในโลก