[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]
“New Zealand ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยว แต่คือสถานที่เก็บเกี่ยวความทรงจำ…การเดินทางสู่ใจกลางเกาะใต้ยาวนาน 2 สัปดาห์ บนถนนทอดไปข้างหน้ากว่า 2 พันกิโลเมตร

ทักทายท้องฟ้าเขียวคราม มองสายรุ้งพาดผ่านเทือกเขา ผ่านหลักไมล์ไม่ได้บอกเพียงระยะทาง แต่เล่าเรื่องราวและมอบประสบการณ์ดีๆ

วันที่กระต่ายป่ากระโดดอย่างเชื่องช้าจากเทือกเขา เหล่าฝูงแกะขี้เซานอนนับเม็ดฝน…แล้วก็ชายฝั่งที่เจ้านก อัลบาทรอส นางนวลตัวโตแห่งท้องทะเล บินล้อเล่นอยู่กับคลื่นลม

ยลแสงสีศิวิไลซ์แห่งควีนส์ทาวน์และฟังเสียงเพนกวิน Yellow-Eyed ที่ใกล้สูญพันธุ์ ริมหาดแคทลินส์อันเหยียดยาว 

สำหรับผม การขับรถที่นิวซีแลนด์เหมือนวิ่งผ่าน เฟรมภาพ นับร้อยนับพัน ให้เราได้บันทึกทุกช่วงเวลานาที…นี่คือวิถีวัฒนธรรมแห่งการท่องเที่ยวบนเกาะใต้ ทุกแห่ง ทุกจุด ทุกเส้นทาง ชวนให้ตื่นตาตื่นใจด้วยทัศนียภาพของฟากฟ้า ทะเล ฝน และฝูงแกะ 

ผมกระเตงครอบครัว ลงเครื่องที่เมืองไคร์สเชิร์ช แวะนอนชิลๆ หนึ่งคืนก่อนจะเช่ารถจากบริษัทท้องถิ่น ‘Toyota Camry’ สีทองอร่ามเป็นเพื่อนร่วมทริปและต้องอยู่ด้วยกันตลอดทาง กินนอนทนุถนอมไปอีก 12 วัน 

แผนที่ๆ เตรียมมาจากกรุงเทพถูกหยิบขึ้นมาควบคู่กับการเปิดหา GPS ในรถ รอยดินสอ ขีดวงไว้ เป้าหมายที่จะปักหมุดจุดไหนบ้าง รู้สึกเหมือนว่ารถคันนี้จะต้องเดินทางเป็นรูปหมายเลข 8 คือวิ่งลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านทะเลสาบที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในโลก อ้อมลงไปสุดขอบแผ่นดิน South Scenic Route ก่อน Go West ไปภูเขาหิมะ Franz Glacier จวบจนแสงตะวันลับฟ้า ข้าม Arthur’s Pass เส้นทางที่ทุกคนบอกว่าควรมาสัมผัสซักครั้งในชีวิต  

ใครที่เคย Self Drive ขับรถเที่ยวญี่ปุ่นมาแล้ว ก็คงไม่ต้องกังวลกับท้องถนนในนิวซีแลนด์ เพราะวิ่งเลนซ้ายเหมือนกันและทัศนียภาพที่สวยงามอลังการแปรเปลี่ยนไปตลอด 2 ข้างทาง ก็ทำให้ใครๆ ต่างมีความสุขพร้อมจุดแวะพักเป็นระยะๆ เพื่อทักทายเพื่อนร่วมทาง

ปรากฎการณ์แสง เหนือทะเลสาบ Tekapo 

New Zealand

วิวระดับร้อยล้านระหว่างทางไป Lake tekapo

New Zealand

ออกจากเมืองไคร์สเชิร์ช ผมมุ่งสู่จุดหมายแรกคือทะเลสาบ Tekapo หลักกิโลเมตรใน GPS บอกระยะทางเกือบสามชั่วโมง กลิ่นอายของความเป็นเมืองเริ่มหายไปทีละน้อย 

เมื่อมาถึงทางแยก Cox Street มีนักท่องเที่ยวแวะพักตรงจุดนี้มากมายเพื่อทานอาหาร ผมเจอร้านแยม Handmade ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นหลากหลายรสชาติ ต้อนรับนักชิมจากทั่วทุกมุมโลก

ในวันที่ท้องฟ้าเจิดจรัส ตัดกับเมฆขาวบางๆ ทางหลวงหมายเลข 79 เชื่อมต่อกับไฮเวย์หมายเลข 8 เราเข้าใกล้จุดหมาย รู้สึกเหมือนเครื่องบินกำลังทัชดาวน์สู่พื้นโลกช้าๆ ความงดงามของเทือกเขาแอลป์อยู่ตรงหน้าและทะเลสาบสี Turquoise เหมือนที่เคยเห็นในโปสการ์ดและแมกกาซีนชื่อดัง…สวรรค์บนดินมีอยู่จริง?

รอบๆ ผืนน้ำแห่งนี้ ครั้งหนึ่งในฤดูร้อน เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของ ชาวเมารี เร่ร่อน บรรพบุรุษผู้ทรงคุณค่าของแผ่นดินนิวซีแลนด์…ท่ามกลางแสงเหนือยามค่ำ รอบกองฟืนที่ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันและคำอธิษฐานถึงสิ่งดีงามแต่ดูเหมือนพระเจ้าไม่เข้าข้าง เมื่อคนขาวผู้มีนามว่า Jock Mackenzie มาถึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง

…โลกของชาวเมารีไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากเคยหาปลา ล่าสัตว์และเก็บของป่าพึ่งพาธรรมชาติ มาสู่ฟาร์มปศุสัตว์โดยเฉพาะการเลี้ยงแกะเพื่อตัดขนขาย ถักทอเป็นเสื้อไหมเพื่อสวมใส่ให้แก่คนเมือง

New Zealand

New Zealand

การเดินไปรอบๆ ทะเลสาบ Tekapo เก็บภาพบรรยากาศมุมต่างๆ ได้เห็นความสวยงามที่เปลี่ยนไปในแต่ละองศา ประกายแห่งสีฟ้าครามยามบ่าย สะท้อนความลึกล้ำของลำน้ำ ท่ามกลางต้นหญ้าที่แปรเป็นสีทอง ผมเชื่อว่ามันเป็นเช่นนี้มาหลายชั่วอายุคน 

ศรัทธาอันศักดิ์สิทธิ์ของผืนน้ำมิได้แปรเปลี่ยน แต่ความต้องการของผู้คนที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลนิวซีแลนด์ต้องสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ ผันน้ำไปสู่โรงผลิตกระแสไฟฟ้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนบนทุกแถบถิ่น

สะพานเล็กๆ เชื่อมต่อระหว่างฝั่งทะเลสาบกับโบสถ์ที่เป็นแลนด์มาร์คเหมือนถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ‘Church of the Good Shepherd’ สร้างสรรค์และออกแบบโดย R.S.D. Harman ตั้งแต่ปี 1935 ปัจจุบัน นอกจากใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้กับชาวเมือง Mackenzie แล้ว โชคดีอาจเห็นพิธีแต่งงานท่ามกลางบรรยากาศงดงามอีกด้วย

ถ้าใครเลือกพักโรงแรมแถวนี้ มี ‘จุดขาย’ คือวิวที่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างอาจนึกว่า เฟรมภาพถูกวาดด้วยสีน้ำมันอ่อนหวาน ร้านรวงรอบๆ Tekapo คราคร่ำด้วยผู้คน มีทั้งอาหารตะวันตกและตะวันออกซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ขายของสดให้กลับไปทำเองที่รีสอร์ท 

New Zealand

New Zealand

New Zealand

ผมเลือกค้างคืนที่โรงแรมเล็กๆ เดินขึ้นไปบนเขาฝั่งเหนือไปราว 100 เมตร บรรยากาศอบอุ่นเหมือนสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่านักเดินทางทั่วโลกมากกว่า กลางวันทุกคนจะออกไปแสวงหาความงดงาม กลางคืนจะกลับมาทำอาหารในห้องครัวเดียวกัน แม้จะพูดคุยคนละภาษา มาจากต่างวัฒนธรรม แต่ก็มีรอยยิ้มให้กันเสมอ 

เมื่อดินเนอร์เสร็จแล้ว ทุกคนเหมือนจะรู้หน้าที่ ล้างภาชนะและเก็บเข้าที่เรียบร้อย ก่อนจะหามุมสงบทานชาร้อนๆ หรือกาแฟอุ่นๆในคืนที่หนาวเหน็บ

ราวๆ ตีห้าของเช้าวันต่อมา ผมเดินฝ่าหมอกจางๆ เพื่อไปรอถ่ายรูปณแสงแรกที่จะสาดส่องมาสัมผัส Church of the Good Shepherd เมื่อไปถึงก็ต้องเซอร์ไพร์ส ไม่คิดว่าบรรดาช่างภาพจะมาตั้งกล้องรอนับสิบตัวทุกคนต่างอ้อนวอนให้ฟ้าเปิด แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะยังไม่ตื่นจากหลับใหล เจ็ดโมงเช้าแล้วแต่เมฆหนายังขมุกขมัว 

กระต่ายป่าออกมาเล็มหญ้า หาอาหาร นกหลากสีแข่งกันร้องซิมโฟนีหมายเลขสาม ผมเห็นหลายคนเก็บกล้องแล้วกลับที่พัก อาจมีนัดต้องเดินทางต่อไป แต่ส่วนตัวยังตั้งตารอคอย…แล้วก็ได้เห็นปรากฎการณ์ลำแสงเหนือโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์นั้นจริงๆ

Mount Cook หุบเขาแห่งอัลไพน์

New Zealand

ถนนมุ่งหน้าสู่ mount cook

New Zealand

New Zealand

รถส่วนใหญ่ที่วิ่งมาตามไฮเวย์หมายเลข 8 ล้วนมีจุดหมายเดียวกันนั่นคือ อุทยานแห่งชาติ Aoraki/Mount Cook เพอร์เฟกต์วิวของยอดเขาที่สูงสุดในนิวซีแลนด์…ส่วนหนึ่งของมรดกโลก Waipounamu – South Westland World Heritage Area 

ระหว่างทาง ผมแวะทานอาหารกลางวันเป็นพายสอดใส้แซลม่อนสุดแสนอร่อย ร้าน Local Food ริมทางเป็นตัวเลือกที่ดีมากเพราะพายคืออาหารสุดโปรดปรานอย่างหนึ่งของชาวนิวซีแลนด์ 

ตลอดเดือนตุลาคม-เมษายน  ถือเป็นฤดูท่องเที่ยวที่เหมาะที่สุดสำหรับการไปเยือน Aoraki/Mount Cook ทุกๆ โมเมนต์ต้อนรับนักปีนเขา นักเดินทาง นักผจญภัยจากทั่วโลก หลั่งไหลเข้ามายังดินแดนที่สร้างแรงบันดาลใจอันล้ำค่า

เส้นทางสู่ Mount Cook เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าอัลไพน์สีน้ำตาลและฉากหลังคือเทือกเขาที่ Landscape ของมันทำให้เรามองเห็นเฟรมภาพแบบพาโนรามา 

New Zealand

New Zealand

New Zealand

New Zealand

อุทยานแห่งชาติครอบคลุมยอดเขา 19 ลูกที่สูงกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลไฮไลต์สำคัญ The Tasman Glacier ธารน้ำแข็งที่ทอดยาวถึง 27 กิโลเมตร กินอาณาเขตกว่า 40% ของพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมือง ตำนานมหัศจรรย์ของชาวเมารีผู้มีนามว่า Aoraki ก่อนที่กัปตัน Cook จะแล่นเรือมาจอดที่ชายฝั่งทะเลใต้ ส่งคนขาวมาบุกเบิกด้านในของแผ่นดิน เทือกเขาที่ถูกค้นพบแห่งนี้จึงเป็นอาณานิคมใหม่ที่ให้เกียรติแด่ผู้อยู่เดิมด้วยจึงใช้ชื่อ Aoraki/Mount Cook 

ศูนย์กลางของอุทยาน ได้แก่โซน Mount Cook Village และ The Hermitage Hotel โรงแรมเก่าแก่ที่สร้างมานานกว่ารีสอร์ทอื่นๆ นักเดินทางจะมาหยุดพักรับประทานอาหาร รับรู้ข้อมูลข่าวสารหรือเคลื่อนเชื่อมไปต่อยังจุดชมวิวต่างๆ ก็สามารถเดินต่อไปไม่ไกลนัก 

ส่วนที่พักของผมนั้นห่างออกมาประมาณ 200 เมตรเป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่ติดกับภูเขาซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ

เส้นทางแทรคกิ้งต่างๆ ภายในอุทยานแห่งนี้มีประมาณ 7 เส้นทางบางแทรคใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่บางแทรคต้องไปพักค้างคืนในหุบเขานานกว่า 1 วัน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบใช้ชีวิตแบบ Outdoor แต่ขอบอกว่าคุ้มค่ากับทัศนียภาพกว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนที่ธรรมชาติสุดแสนเวิ้งว้างทว่ารื่นรมย์

ผมเลือกเดินเส้น The Hooker Valley เป็นทางราบสลับกับขึ้นเขาราวๆ 4-5 กิโลเมตร ซึ่งในเว็บไซต์ของทางอุทยานจะขึ้นคำว่า Popular! หมายความว่าได้รับความนิยมอย่างสูง 

New Zealand

New Zealand

จุดเริ่มต้นนั้นมาได้ทั้งจาก The Hermitage Hotel หรือบริเวณแคมปิ้งใหญ่ที่สุดของอุทยานคือ The White Horse Hill Camping Ground ก็สะดวกสบายเช่นเดียวกัน

ระหว่างทางมีจุดชมวิวให้แวะเก็บภาพสวยๆ สะพานข้ามแม่น้ำ Hooker ที่ไม่เคยเหือดแห้งจากภูเขาที่มีธารน้ำแข็งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย The Mueller Glacier นับเป็นอีกไฮไลต์สำคัญที่พลาดไม่ได้ 

ช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ จะมีดอกลิลลี่สีขาวผลิบานแต่งแต้มสีสันให้เทือกเขาอัลไพน์เหล่านี้มีชีวิตชีวา

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหายไป เมื่อยามเย็นมาถึงพวกเราเดินไปสำรวจรอบๆ อุทยาน ดื่มด่ำกับทัศนียภาพของ Mount Cook อย่างใกล้ยิ่งขึ้น ซึมซับอากาศบริสุทธิ์แห่งต้นฤดูหนาว

ค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท พื้นที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ดูดาวสวยสุดแห่งหนึ่งของ New Zealand แสงระยิบระยับของดาราจักรคือรางวัลสำหรับผู้มาเยือน

…ราตรีนี้อาจมีบางคนนอนนับดาว แต่บางคนเลือกที่จะ นอนนับแกะ Mount Cook ได้ทำให้ภาพความฝันนั้นสวยงาม