สุขภาพของต้นไม้ใหญ่ ทำไมจึงสำคัญ?

โดย | ต.ค. 7, 2021 | Community, Heart-Inspire

ถ้าไม่เกิดความสูญเสียดังเช่นกรณี “ต้นยางนา” 14 ต้น ล้มทับบ้านเรือนใน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ก็คงไม่มีใครหันมาใส่ใจกับ “สุขภาพต้นไม้” ซึ่งเค้าก็เหมือนมนุษย์ยามสูงวัย ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา ถึงเวลาตรวจสุขภาพ เพื่อให้รู้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร…
กลุ่ม BIG Trees องค์กรภาคประชาสังคมที่เห็นความสำคัญของต้นไม้ใหญ่และมีอุดมการณ์เรื่องสิ่งแวดล้อม คุณสันติ โอภาสปกรณ์กิจ ผู้ประสานงานกลุ่มบิ๊กทรีส์ ระบุว่า ทางกลุ่มบิ๊กทรีส์ร่วมกับเครือข่ายเชียงใหม่เขียวสวยหอม องค์กรเครือข่ายในพื้นที่และอาสาสมัคร เคยเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสุขภาพของต้นยางนาขนาดใหญ่ในอำเภอสารภี มาก่อน พร้อมทำความเข้าใจกับเทศบาลและอบจ.เชียงใหม่ แต่เราดำเนินการไปได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเพราะงบประมาณจำกัด 
“กลุ่มบิ๊กทรีส์ สำรวจไปเพียง 20% ของต้นยางนาทั้งหมดกว่า 1,000 ต้น ส่วนอีก 80% ยังไม่ได้ดำเนินการเพราะทางท้องถิ่นติดขัดเรื่องงบประมาณ เมื่อไม่ครบจึงไม่สามารถทำให้ต้นไม้แข็งแรงเหมือนเดิมได้ทั้งหมด เราจึงอยากเห็นทางท้องถิ่นเข้ามาดูแลต่อและสำรวจให้ครบโดยเร็วในอนาคต”
จากการศึกษาของกลุ่มบิ๊กทรีส์ พบต้นยางนาอยู่ในสภาพไม่แข็งแรงอย่างเห็นได้ชัดประมาณ 100 ต้น
“แต่ที่มีปัญหามากๆ คือ 50 ต้น ถึงขั้นแย่แล้ว เพราะใบเหลือน้อย เทศบาลก็ต้องมีการตัดแต่งใบด้านบนให้น้ำหนักลดลงและอาจจะใช้เสียมลมเมื่อจำเป็นต้องขยับขยายรากที่ถูกถนนหรือยางมะตอยเททับลงไปบนพื้นผิว”
#ต้นยางนา อายุมากถ้าอยากให้อยู่นานๆ ต้องดูแลรักษา
หากเปรียบต้นไม้เป็นชีวิตคนเรา ต้นยางนาที่อยู่มานับร้อยปีอาจยังแข็งแรงได้ ถ้าดูแลสุขภาพเค้าดีเพียงพอ แม้จะไม่แกร่งเท่าคนวัยหนุ่มสาวก็ตาม โดยสิ่งที่ คุณสันติ สำรวจพบคือ “ต้นยางนาเหล่านี้กลับเป็นดังเช่นคนชราหรือคนที่กินข้าวไม่พอ เค้าก็จะป่วย ถ้าไม่ป่วยก็เหมือนคนที่อายุ 40-50 ปี แต่ดูสภาพเหมือนคนแก่อายุ 60-70 ปีเข้าแล้ว ดังนั้น ถ้าเราไม่รักษาเค้าดีๆ จะค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีการรักษาที่ดีก็จะอยู่จนถึงอายุ 90-100 ปีได้”
จริงๆ แล้ว ต้นไม้ทุกต้นมีชีวิตและมีปฏิกิริยาต่อความเจริญที่รุกล้ำพวกมันตลอดเวลา กล่าวคือจะทยอยมีปัญหาที่ระบบรากหรือลำต้น สะสมไปเรื่อยๆ นิสัยของต้นไม้จะไม่เหมือนคน ที่ป่วยไข้แล้วล้มหมอนนอนเสื่อทันที แต่ต้นไม้จะมีอาการปีละ 5% ปีที่สองอีก 5-10% ปีที่สาม 10-20% และพอปีที่ 5 เราก็จะเห็นชัดเจนถึงความไม่สมบูรณ์ของเค้า ทางใบ กิ่ง ก้าน และนำไปสู่การโค่นล้มได้
ข้อแนะนำสำหรับการรักษาอาการป่วย คุณสันติ ระบุว่า อย่างแรกก็คือจะต้องรื้อยางมะตอยกับปูนซีเมนต์ที่เททับ ปิดบังการเติบโตของรากบริเวณโคนต้นออกไป เพื่อให้น้ำและอากาศถ่ายเท หายใจได้สะดวก ซึ่งเราสามารถใช้วัสดุอื่นทดแทนเช่นอิฐที่มีรูพรุน ปลูกหญ้าตรงกลาง เพื่อให้รากและน้ำมีช่องทางระบาย ไม่อุ้มน้ำไว้มาก สามารถรับแดดได้โดยตรง ไม่เช่นนั้นระบบรากจะเสียหายหนักและเมื่อฝนตกจะอุ้มน้ำ ยามเกิดลมแรง ฝนพายุขึ้นมา จะเหมือนเช่นวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา รากก็ยึดเกาะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะรากได้หดตัวลงเรื่อยๆ จากที่ควรมีรากแผ่กว้าง 10 เมตร อาจจะเหลือแค่ 2 เมตรเท่านั้น
“ต้นไม้ใหญ่อย่างต้นยางนาสูง 30-40 เมตร จำเป็นต้องมีรากยึดเกาะที่กว้างใหญ่พอสมควร แต่เมื่อรัฐนำปูนและยางมะตอยราดทับไปเพื่อสร้างถนนหรือทางจอดรถ รากที่เคยมีนับ 10 เมตรจะหดตัว เพราะน้ำและออกซิเจนลงไปไม่ได้ บวกกับปัญหากิ่งก้านใบด้านบนซึ่งเราไม่เคยลดน้ำหนักหรือตัดทอนลงมา ก็มีโอกาสที่จะทำให้ต้นยางนาล้มโค่นได้”
#รุกขกร เข้าช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ดังนั้น เราจะเห็นข่าวว่า ต้นยางนาริมถนนที่ใกล้ชิดกับบ้านเรือนประชาชนเกิดปัญหาล้มเช่นนี้ทุกๆ 4-5 ปี เพราะด้วยความสูงขนาดนั้น เทศบาลจะใช้วิธีการค้ำยันก็คงทำได้ลำบาก 
“รัฐจึงต้องแก้ปัญหาที่การลดน้ำหนักด้านบน ทอนต้นไม้ลงมาให้สั้น ไม่สูงเกินไป แต่ไม่ใช่การตัดจนกุดหมด และสร้างระบบรากใหม่ ให้แผ่ขยายออกเป็นสำคัญ เมื่อรากแข็งแรงต้นจะไม่ล้ม ”
อุทาหรณ์สำคัญจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณสันติ มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ท้องถิ่นหรือจังหวัดต้องลงมาแก้ไขจริงจัง เพิ่มงบประมาณให้เพียงพอ เพราะการสำรวจสุขภาพต้นไม้ 1,000 ต้น ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ
ปัจจุบันประเทศไทยมี “รุกขกร” ผู้มีความรู้ในการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ สามารถช่วยดำเนินการได้ พร้อมสลับทีม “แตะมือ” กันลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ถ้าพบว่าต้นไม้ต้นไหนสภาพเสียหายไม่เฉพาะแต่รากเท่านั้น ยังรวมถึงปัญหาแกน ปลวก แมลง และเชื้อรา ก็จะต้องใช้เครื่องมือหนักช่วยแก้ไขเพื่อฟื้นฟูเยียวยาต้นยางนาที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้

#ต้นยางนา #อำเภอสารภี #เชียงใหม่ #กลุ่มบิ๊กทรี #รุกขกร