[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

แถบแสงสีเขียว แซมด้วยชมพู ฟ้า ม่วง โปกสะบัด ขยับเป็นจังหวะคล้ายคลอเคลียเสียงดนตรี สารคดีที่เล่าเรื่องราวของ “Aurora” ความสวยงาม มหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ท้องฟ้าจำลองถ่ายทอดมาให้ชม กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้เห็น“แสงเหนือ” ด้วยตาจริงๆ สักครั้ง

ซึ่งนอร์เวย์ เป็นหนึ่งในประเทศแถบขั้วโลกเหนือ (Arctic) ที่สามารถเห็นปรากฏการณ์แสงเหนือได้ จังหวะตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชั่นพอดี เราจึงปักหมุด ตั้งขบวนไปตามหาแสงเหนือกันที่นอร์เวย์

จาก 2 วันแรกการเดินทางไปกลับระหว่างออสโล กับเมืองโฟลม (Flam) ได้ทำความคุ้นชินกับอากาศฤดูหนาวของนอร์เวย์พอสมควรแล้ว…

เราเริ่มต้นตามหาแสงเหนือกันที่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) หมู่เกาะที่ตั้งอยู่ที่เมือง Nordland ทางเหนือของประเทศนอร์เวย์ เป็นแหล่งรวมหมู่บ้านของชาวประมง เอกลักษณ์ที่สำคัญของหมู่เกาะแห่งนี้ก็คือ กระท่อมสีแดงแบบดั้งเดิม (RORBUER) ของชาวประมง ที่กลายเป็นสีสันริมชายฝั่งและเป็นหนึ่งในสถานที่สำหรับการดูแสงเหนือที่โรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์

จากสนามบินออสโล สู่สนามบิน Harstad/Narvik เราเช่ารถขับจากสนามบินถึงเกาะโลโฟเทนบนถนนสายหลัก E10 ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ทำเวลาแข่งพระอาทิตย์เช่นเคย สำหรับคนที่ไม่อยากนั่งรถนาน ก็สามารถจองตั๋วมาลงสนามบินในเกาะได้ ซึ่งมี 2 สนามบิน Svolvaer หรือ Leknes โดยอาจจะมีข้อแตกต่างเรื่องของตารางเวลาบิน และราคาตั๋ว ที่ต้องมาเปรียบเทียบความเหมาะสม

เส้นทางสู่เกาะโลโฟเทน ช่วงเวลาราวบ่าย 2 พระอาทิตยเตรียมจะลับขอบฟ้า

ถึงที่พักที่ Ballstad  เป็นบ้านชาวประมงที่ถูกปรับเป็นที่พักสำหรับนักเดินทาง…เช็คจากเว็บไซต์ www.norwaylights.com ที่พยากรณ์เกี่ยวกับแสงเหนือในแต่พื้นที่ ระบุที่โลไฟเทนมีเมฆนิดหน่อย ฟ้าเปิดเป็นช่วงๆ ให้พยายามค้นหาได้ในที่มืดๆ เพื่อจะได้เห็นแสงเหนือ ชาวคณะก็ใจชื้นอยู่ในที…จินตนาการว่าคงได้นอนมองแสงเหนือเต้นระบำโชว์ลีลาแสนสวยอย่างมีความสุข แต่ทว่าเฝ้ารออยู่ทั้งคืนพี่แสงเหนือก็ไม่ปรากฏ คงต้องรอความหวังในคืนพรุ่งนี้ต่อไป

บริเวณที่พักที่ Ballstad รอลุ้นแสงเหนือในยามค่ำคืน

รุ่งขึ้นเราขับรถเที่ยวตระเวณเที่ยวเกาะ พระอาทิตย์ในช่วงนี้อาจจะทำงานไม่เต็มที่เท่าใดนัก ขึ้นและทำท่าจะตกตลอดเวลา…

ยังดีที่ปล่อยแสงออกมาระยะสั้นๆ ให้เราได้ชื่นชมความงดงามของทิวทัศน์สองข้างทางอยู่บ้าง การขับรถเที่ยวเองมีข้อดีตรงที่ เมื่อเห็นบริเวณไหนสวยโดนใจ ก็สามารถแวะจอดเพื่อบันทึกภาพความประทับใจได้ตลอด

ทิวทัศน์ระหว่างทางในเกาะโลโฟเทน

จุดท่องเที่ยวที่โลโฟเทนมีมากมายหลากหลาย แต่ก็นั่นแหละ…เรามีข้อจำกัดเรื่องแสงอาทิตย์ จึงต้องคัดกรองจุดที่เป็นไฮไลท์ของการเยี่ยมชม

สถานที่แรกที่เราแวะคือ Nusfjord เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ มีฟอร์ดที่หรืออ่าวน้ำที่ถูกกัดเซาะโดยธารน้ำแข็งเป็นลักษณะแคบและยาว เว้าลึกเข้าไปในฝั่งนับเป็นฟอร์ดที่งดงามอีกแห่งหนึ่งของนอร์เวย์

Nusfjord หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ที่มีชื่อเดียวกับฟอร์ดอันงดงาม

จุดที่เป็นไฮไลท์ แลนมารค์ที่พลาดไม่ได้ คือหมู่บ้านฮัมน้อย (Hamnøy) และหมู่บ้านไรเน่ (Reine) ธรรมชาติที่ออกแบบพิถีพิถัน อ่าวที่โค้งเว้า รอบทิวเขา เกาะแก่งเขาโพลนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ตั้งสูงตระหง่าน อยู่กลางทะเล สะท้อนเป็นเงาอยู่ในน้ำใส แซมด้วยบ้านชาวประมง และแสงไฟน้อยๆ ทรงสวยแปลกตา เป็นภาพพาโนรามา ที่สวยจับใจ

หมู่บ้านฮัมน้อย(Hamnøy) กระท่อมสีแดงแบบดั้งเดิม (RORBUER) ของชาวประมง ซึ่งปกติจะมี ปลาค็อดตากแห้งเรียงรายอยู่ แต่ในฤดูหนาวที่ไม่มีแสงแดด จึงเห็นเพียงแค่ราวตากปลาค็อตเท่านั้น

หมู่บ้านไรเน่( Reine) ในช่วงเวลาที่ยังพอมีแสงอาทิตย์รำไร

จากหมู่บ้านไรเน่ ขับลงไปทางใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร เพื่อไปที่หมู่บ้านโอ (Å) หมู่บ้านสุดท้ายที่อยู่ปลายสุดของเกาะโลโฟเทน มีธรรมชาติที่งดงาม มองเห็นทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีท่าเรือเฟอรี่สำหรับคนที่เดินทางมาเกาะโลโฟเทนทางเรือ ที่มาจากเมือง Bodo

หมู่บ้าน Å

เราขับรถขับไปที่หมู่บ้านไรเน่อีกครั้ง เพื่อเก็บภาพบรรยากาศยามที่พระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงไฟจากบ้านเรือน ที่สะท้อนลงน้ำได้ชัดเจนขึ้น สีขาวของหิมะบนทิวเขา ที่เปล่งแสงสู้กับความมืด ผสานกลมกลืน เป็นภาพความสวยงามในจินตนาการ ที่เห็นจริงด้วยสองตา…

ความสวยงามของหมู่บ้านไรเน่ ในยามที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

เก็บภาพบรรยากาศหมู่บ้านไรเน่สมใจแล้ว เราต้องยอมจำนนกับการลับลาของแสงอาทิตย์ เดินทางกับที่พักเพื่อรอลุ้นการมาของแสงเหนือกันอีกหนึ่งคืน…เฝ้ารออยู่ทั้งคืน ฟ้าปิด เมฆคลึ้ม พระจันทร์กระจ่าง…ณ ที่เกาะโลไฟเทน ยังคงไร้วี่แววของแสงเหนือ…หากแต่ความผิดหวัง เราถูกชดเชยด้วยทิวทัศน์ ภาพความงดงามของธรรมชาติของเกาะแห่งนี้ไปหมดแล้ว

อีกค่ำคืนของการลุ้นแสงเหนือที่เกาะโลโฟเทน

อาหารที่ทำทานกันเอง ช่วยประหยัดได้มากสำหรับประเทศที่ค่าครองชีพแพงเป็นอันดับหนึ่งของโลก