[siteorigin_widget class=”SiteOrigin_Widget_Image_Widget”][/siteorigin_widget]

รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลกเชื่อมต่อหลายประเทศรัสเซีย มองโกเลีย จีน เฉียดเกาลีเหนือ และญี่ปุ่น ระยะทางสถานีต้นถึงปลายทางรวมเกือบ 10,000 กิโลเมตร 

อีร์คุตสค์ซึ่งในหนึ่งในสถานีของเส้นทางรถไฟ สบโอกาสตามความใฝ่ฝันที่จะได้ลองนั่งรถไฟสายนี้สักครั้งแม้จะในระยะสั้นๆ ก็ยังดี

สถานีรถไฟอีร์คุตสค์

เช้าในวันที่ต้องอำลาเมืองอีร์คุตสค์ พนักงานจอมดุและเจ้าระเบียบของเก็ตเฮาส์ เสนอตัวเป็นแท๊กซี่มาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟ เราจองรถไฟแบบตู้นอน class 2 เตียง 2 ชั้น 1 ห้องสามารถนอนได้ 4 คน ราคาค่าโดยสารจากอีร์คุสค์ถึงอูลานบาตอร์ประมาณ 7,800 รูเบิล หรือประมาณ 4,000 บาท

ตารางเวลารถไฟ ซึ่งเป็นภาษารัสเซียทั้งหมด

ขบวนรถไฟ N306 เทียบชานชาลา 1

ห้องโดยสาร 1 ห้อง บรรจุได้ 4 คน

ล้อรถไฟหมุนตรงเวลาที่ 8.20 ตะวันที่กำลังดันตัวขึ้น มองผ่านกระจกมุมประทะแสงส้มของกระจายเต็มอยู่ปลายเส้นขอบฟ้าพอดี กำหนดการใช้เวลา 22 ชั่วโมงถึงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย

เริ่มต้นด้วยเส้นทางรางรถไฟลัดเลาะไปตามริมทะเลสาบน้ำแข็งไบคาล เหมือนเป็นภาพสวยช้ำย้ำความทรงจำให้เบื่อจุใจ ก่อนที่ระยะทางจะพาให้พ้นสายตา กลายเป็นภาพภูเขาแห้งแล้ง สลับกับทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สีน้ำตาล 

เส้นทางลัดเลาะริมทะเลสาบไบคาล

จอดแวะพักที่สถานีอูลาอูเด 

ราวเที่ยงคืนรถไฟจอด ณ สถานีเชื่อมต่อพรมแดนระหว่างประเทศรัสเซีย และมองโกเลียนานเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะต้องมีการกระบวนการตรวจคนเข้า-ออกประเทศ ที่เข้มงวดมากถึงมากที่สุด นับได้การตรวจได้ถึง 7 ครั้ง สำหรับเจ้าหน้าที่ 7 คน กับสุนัขตำรวจ 1 ตัว ตรวจตั้งแต่สแกนตัวผู้โดยสาร พาสปอร์ต สัมภาระ ที่เก็บสัมภาระ และที่นั่งทุกซอกทุกมุม…จัดให้สบายใจเลย

เช้า 6 โมงกว่า รถไฟนำส่งถึงสถานีอูลานบาตอร์ สถานีที่ดูใหม่และทันสมัยทีเดียว ก้าวลงจากรถไฟสั่นสะท้านด้วยอุณหภูมิติดลบหนาวจับใจ… ลุงคนขับรถที่เราติดต่อไว้มารอรับอยู่แล้ว 

สถานีอูลานบาตอร์ใหม่และทันสมัย

เส้นทางในอูลานบาตอร์

กำหนดการพวกเราอยู่ที่มองโกเลีย 3 วัน 2 คืน… วันและคืนแรกใช้เวลาอยู่นอกเมือง เป็นการพักในกระโจม หรือเกอร์(Ger) ที่เหมือนเป็นบ้านชั่วคราวของคนมองโกเลียที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ และมักเร่ร่อนไปในสถาที่ต่างๆ สร้างจากไม้ หุ้มด้วยหนังสัตว์ และผ้าเพื่อสร้างความอบอุ่น สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ภายในจะมีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาทิ ที่นอน ผ้าห่ม เตาผิง ที่เพิ่มเติมน่าจะมีปลั๊กไฟ อ่างล้างหน้าขนาดย่อม เพื่อรองรับนักเดินทางที่มาพักได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น 

กระโจม หรือเกอร์(Ger) ที่เหมือนเป็นบ้านชั่วคราวของคนมองโกเลีย

สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นภายในเกอร์

การพักนอกเมืองสิ่งที่ต้องเตรียมใจคือ เรื่องของการใช้น้ำ และห้องน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ที่นับได้ว่าเป็นฤดูน้ำแล้งของมองโกลก็ว่าได้ พื้นที่เป็นภูเขาสลับกับทุ่งกว้างใหญ่ อากาศเย็นทำให้แหล่งน้ำเป็นน้ำแข็ง ระบบชลประทานทำได้ลำบาก ดังนั้นจึงต้องใช้น้ำกันอย่างประหยัด ไม่มีน้ำเพียงพอให้อาบ ทำได้แค่เช็คตัวชุดอาบน้ำแบบพกพา การขับถ่ายก็ต้องใช้ห้องน้ำดั่งเดิม คือ “ส้วมหลุม” นั่นเอง 

อาหารการกิน รสชาติก็พอจะทานได้ แต่ที่เป็นปัญหาคือ เนื้อที่นำมาปรุงอาหารส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อวัว แพะ กวาง ม้า สำหรับเราคนไม่ทานเนื้อ ก็ลำบากในการหลีกเลี่ยง อาจจำต้องทานเพื่อความอยู่รอด หรือประคองด้วยเสบียงบะหมี่สำเร็จรูปที่เตรียมการไว้…ฮา 

กระโจมที่เราพักอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเทเรลจิ (Terelj NP)… หลังจากเก็บสัมภาระ ลุงก็พาไปเที่ยวจุดที่เป็นไฮไลท์ของอุทยานคือ “Turtle Rock” หินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเหมือนเต่า มีตำนานเล่าขานว่าเป็นเก็บสมบัติล้ำค่าของข่านคนหนึ่ง 

Turtle Rock แลนมาร์คของอุทยาน Terelj

การมามองโกเลียในช่วงฤดูหนาว อาจจะผิดความคาดหวังเล็กๆ เพราะอากาศเย็น ต้นไม้สีเขียว ดอกไม้ที่บานสะพรั่งตามใจคิดเหมือนอุทยานทั่วไปนั้นไม่มี มีแต่ทุ่งหญ้าสีน้ำตาล ภูเขาหัวโล้นแห้งแล้ง ยังดีที่มีกิจกรรมให้สนุกอยู่บ้าง อาทิ ขี่ม้า ขี่อูฐ ถ่ายรูปกับเหยี่ยว อีแร้ง…ชุปตาร์ของอุทยาน

ตกกลางคืน ความมืดที่ไร้แสงไฟ….ทำให้เราได้เห็นหมู่ดาวพราวระยิบอยู่เต็มฟ้า อยากจะนอนดูให้สมใจ เผื่อโชคดีอาจจะได้เห็นดาวตกบ้าง แต่ความหนาวเย็นบังคับให้รีบเข้าไปซุกตัวใต้ผ้าห่มนอนฝันคงง่ายกว่า… 🙂 

เพื่อนใหม่ 4 ขา

รุ่งขึ้นลุงมารับเข้าเมือง พวกเราขอให้ลุงขับพาพวกเราเที่ยวในตัวเมือง ซึ่งลุงก็เต็มใจในราคาเหมา 40 ดอลล่าร์ เริ่มต้นพาไปวัด Gandan วัดที่ใหญ่สไตล์วัชรยาน หรือนิกายทิเบต มีเก่าแก่ที่สุดและสำคัญที่สุดในประเทศมองโกเลีย Museum of National History พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ทันสมัย ที่ได้รวบรวมประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของมองโกเลียตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน บอกเล่าเรื่องของการเปลี่ยนจากการปกครองแบบเผด็จการไปสู่ระบอบประชาธิปไตย​​ และระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการปราบปรามทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ 1930 

วัด Gandan

Museum of National History ซึ่งภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป

Sukhbaatar Square หรือจัตุรัสเจงกิสข่าน จัตุรัสใจกลางเมืองอูลานบาตอร์ เป็นสถานที่ที่ใช้ในการจัดงานพาเหรดต่างๆ รอบล้อมไปด้วยอาคารสำคัญๆ เช่น รัฐสภา ตลาดหลักทรัพย์ โรงละครและพระราชวัง เป็นพักผ่อน ทำกิจกรรมสันทนาการของคนในเมือง 

อนุสาวรีย์ ดัมดิน ซัคบาตอร์

อนุสาวรีย์ เจงกิสข่าน

ที่สำคัญจัตุรัสแห่งนี้มีอนุสาวรีย์รูปปั้นของ ดัมดิน ซัคบาตอร์ (Damdin Sukhbaatar) ผู้นำการปฏิวัติประเทศให้เป็นเอกราชจากการยึดครองจีนในปี 1921 ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางจัตุรัส ในบริเวณใกล้เคียงกันนั้นมีรูปปั้นของเจงกิสข่าน นักรบผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ก่อตั้งดินแดนมองโกเลีย 

ที่พักของพวกเราอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัส สามารถเดินออกมาดูแสงไฟความค่ำคืนของเมืองได้สะดวก ที่เมืองอูลานบาตอร์นี้ นอกจากการได้สัมผัสสถาปัตยกรรมที่ยังคงกลิ่นไอวัฒนธรรมเก่าแก่ของมองโกเลียแล้ว สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจคือ มองโกเลียประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล มีประชากรแค่ราว 3 ล้านคน เริ่มต้นคิดลบว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา บ้านเรือน ตึกอาคาร จะสร้างระเกะระกะ ถนนหนทางยังไม่สมบูรณ์ เส้นทางยังเป็นหินดินฝุ่นฟุ้งกระจาย

แต่ในความเป็นจริงเมืองอูลานบาตอร์เจริญมาก โรงแรมหรู ห้างร้าน ตึกสูงทันสมัยมากมาย สร้างอย่างเป็นระเบียบ รถใหม่วิ่งกันเต็มถนน จราจรคึกคักทั้งวัน ผู้คนเดินกันขวักไขว แสงไฟสว่างทั้งคืน เป็นเมืองที่แทบจะไม่มีช่วงเวลาหลับไหลเลยก็ว่าได้

 

และรุ่งขึ้นวันสุดท้ายของการเดินทาง ต้องกลับกันแล้วจากอูลานบาตอร์ ไปต่อเครื่องที่ปักกิ่งรวมใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงถึงกรุงเทพ จบทริป 9 วันของการเดินทาง เส้นทาง 2 ประเทศ รัสเซีย มองโกเลีย ในราคาประหยัด ความสุข สนุกสนาน แบบเย็นจัด สุดประทับใจ !!!