ผมเดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติ Aoraki/Mount Cook มุ่งสู่เมืองควีนส์ทาวน์ (Queenstown) ทางตอนกลาง หมุดหมายที่ใครๆ ก็หลงรัก แวะพัก ยลโฉมและเชื่อมโยงต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ
ความรื่นรมย์อย่างหนึ่งในการขับรถก็คือได้หยุด ได้จอดตามร้านแปลกๆถ่ายรูปวิวใหม่ๆ เก็บโบรชัวร์เมืองที่น่าสนใจไปตลอดเส้นทางอย่างร้าน Mt Cook Alpine Salmon ที่เค้าบอกว่าเป็นแซลมอนที่ดีที่สุดเพราะเลี้ยงในน้ำเย็นเฉียบและสะอาดบริสุทธิ์ ทางร้านเปิดฟาร์มให้ชมและชิมกันแบบสดๆ ตั้งใกล้กับทะเลสาบ Pukaki เมือง Twizel เป็นจุดนัดพบบนไฮเวย์หมายเลข 8 เมื่อลงจากเมาท์คุกหรือจะมาจากทะเลสาบ Tekapo ก็ได้ เค้าเปิดบริการตั้งแต่ 8.30-17.30 น.ไม่อยากให้เลยผ่าน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.alpinesalmon.co.nz จะได้ไม่พลาด
Lindis Pass ถนนแห่งทุ่งหญ้าอัลไพน์
เมื่อแล่นลงใต้ตามไฮเวย์หมายเลข 8 เรื่อยๆ ไปจนเข้าเมือง Omarama ก็จะนำเราเข้าสู่ Lindis Pass ถนนที่ได้รับยกย่องว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นพื้นที่อนุรักษ์ ที่หากมีโอกาสก็ควรได้มาสัมผัสความตื่นตาตื่นใจสักครั้งในชีวิต บนระยะทาง 61 กิโลเมตร ณ ความสูง 971 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ยามเช้าของฤดูร้อน Lindis Pass พาดผ่านภูเขาที่ปกคลุมด้วยเมฆบางๆ ละลานตาด้วยบรรดาดอกลาเวนเดอร์สีม่วง และเมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงทุ่งหญ้าอัลไพน์จะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองอร่าม รอแสงตะวันมาสัมผัสทำให้พวกมันมีชีวิต กระทั่งความหนาวยะเยือกมาเยือน ทุกหนแห่งปกคลุมด้วยหิมะ มองออกไปเหมือนผ้าห่มสีขาวกำลังให้ไออุ่นแก่ขุนเขา
Lindis Pass มีจุดชมวิวให้เราแวะพัก ดื่มกาแฟและทานอาหารที่เตรียมมาเองได้เป็นระยะๆ ผมเจอน้องๆ จากเมืองไทยมาทริปเดียวกัน 4-5 คนเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยและเริ่มต้นทำงาน อาศัยวันหยุดยาวมารียูเนี่ยนกันอย่างสนุกสนาน โดยเช่ารถ Juicy คล้ายๆ รถบ้านแต่ไซส์เล็กกว่านิดนึงนั่งดื่มกาแฟชมวิวทิวทัศน์แบบไม่รีบร้อน
“พวกผมกำลังซึมซับธรรมชาติของ Lindis Pass ครับพี่”
ทั้งหมดมาถึงนิวซีแลนด์ก่อนพวกเรา จึงมีเวลาท่องเที่ยวเกาะเหนือจนชุ่มปอด เสร็จแล้วเช่ารถมุ่งหน้าสู่ควีนส์ทาวน์เหมือนกัน “ตอนแรกคิดว่าจะนอนบนรถได้ แต่กลางคืนไม่มีฮีทเตอร์ สุดท้ายก็ต้องเช่าโรงแรมนอนอยู่ดี” น้องๆ สายฮา เล่าให้ฟังถึงอากาศกลางคืนที่หนาวสุดๆ
Arrowtown เสน่ห์ของเมืองตากอากาศ
ก่อนร่ำลา บอกว่าเราอาจจะได้เจอกันอีกครั้งที่ควีนส์ทาวน์ แล้วก็จริงๆ ตามนั้น เพราะควีนส์ทาวน์เป็นเมืองไม่เล็ก ไม่ใหญ่ กำลังพอดีๆ แต่โมเมนต์ก่อนที่จะเข้าไปนั้น ผมแวะไปยังแหล่งช้อปปิ้งสำคัญที่ Arrowtown หมู่บ้านอันเก่าแก่ ชุมชนมีเสน่ห์ ที่แปลงสภาพบ้านเรือนเป็นร้านค้าสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
Arrowtown อยู่ห่างจากเมืองควีนส์ทาวน์ไม่เท่าไหร่นัก แต่ได้รับความนิยมอย่างมากมาย ทั้งร้านขายสินค้า ของที่ระลึก แบรนด์เนม แฮนด์เมด คาเฟ่ และร้านอาหารแบบนิวซีแลนด์สไตล์ เอกลักษณ์เฉพาะของคนที่นี่เท่านั้น
ทุกๆ ปี ชาวเมือง Arrowtown จะจัดงานเฉลิมฉลอง The Akarua Arrowtown Autumn Festival เหมือนเป็นประเพณีและวิถีชีวิตดั้งเดิม เกิดเป็นกิจกรรมต่อเนื่องถึง 22 ปีแล้ว ตลอดสัปดาห์ในเดือนเมษายนคือช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ธรรมชาติและบรรยากาศของเมืองจึงสวยงามเป็นพิเศษ ใบไม้จะกลายเป็นสีเหลืองและแดงสลับกันไป ตลอดแนวถนน ชุมชน และบนภูเขา
ผู้คนในเมืองรวมถึงชาวไร่ ชาวสวน ออกมาร่วมกันเดินขบวนพาเหรดกันอย่างสนุกสนาน เกษตรกรจูงแกะมาวิ่งแข่งขัน นั่งรถโบราณ รถม้าและสวมใส่เสื้อผ้าแบบย้อนยุค โดยปี 2018 นี้งาน The Akarua Arrowtown Autumn Festival กำหนดไว้วันที่ 19-25 เมษายน นอกจากออกร้านจำหน่ายสินค้าและอาหาร ยังมี Arts and Crafts Market คอนเสิร์ต การฉายหนังกลางแปลงใน Park ฯลฯ อีกมากมาย แนะนำให้ดูได้จากเว็บไซต์ www.arrowtownautumnfestival.co.nz
ในเวลาเย็นย่ำเราจะเห็นวิถีชีวิตของชาวชุมชนที่นี่ค่อนข้างอบอุ่นทีเดียว บางครอบครัวเข็นรถเด็กน้อยวัยละอ่อนออกมาพักผ่อนกับพ่อแม่ในสวนสาธารณะปิกนิคกันแบบสบายๆ หรือไม่ก็จูงสุนัขมาออกกำลังกายผ่อนคลายดีจัง
นักท่องเที่ยวคนไหนที่พอมีเวลาสักหน่อย แนะนำให้ไปดูเหมืองขุดทองเก่าแก่ซึ่งตั้งมาตั้งแต่ช่วงปี 1860 อยู่ไม่ห่างไกลนัก เหมืองทองแห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของความเจริญในพื้นที่เมื่อ 100 ปีก่อน ซึ่งเคยมีนักขุดทองมาอาศัยอยู่ถึง 1,500 คน แต่เมื่อหมดยุคทองไปแล้ว Arrowtown ก็กลายเป็นเมืองตากอากาศสำหรับ Vacation เต็มตัว เต็มไปด้วยโฮเตลหรือโฮสเทลสำหรับพักผ่อนในวันหยุด สวยแค่ไหนก็คงไม่ต้องบอก ขนาดเคยเป็นฉากหนึ่งของภาพยนตร์ไตรภาค The Lord of the Rings มาแล้วละกัน
ถ้าเดินชิลๆ ไปกลับเหมืองทองโบราณ ผมคิดว่าก็คงใช้เวลาราวๆสองชั่วโมงเศษ แต่เนื่องจากขับรถมาถึง Arrowtown ค่อนข้างเย็นแล้ว คิดว่าน่าจะเข้าเมืองควีนส์ทาวน์ให้ได้ก่อนค่ำ เพื่อเช็คอินโรงแรมให้เสร็จสรรพเรียบร้อยจึงต้องอำลาเมืองน่ารักแห่งนี้ไป
ดื่มด่ำชีวิตริมทะเลสาบที่ Queenstown
ระยะห่างประมาณ 25 นาที เราขับรถผ่านฟาร์มเลี้ยงแกะที่มีมากมายสองข้างทาง ไม่นานก็ถึงควีนส์ทาวน์ ใครที่ชอบ Landscape แบบแนวราบ ไร้มลภาวะทางสายตา ผมคิดว่าควีนส์ทาวน์ สามารถให้ความรู้สึกแบบนั้นเป๊ะ ทุกอย่างเหมือนถูกจัดวางอย่างลงตัว โรงแรม อาคารบ้านเรือน ร้านรวง สถาบันการศึกษา สถานที่ราชการ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนอยู่ล้อมรอบทะเลสาบ Wakatipu ที่เหมือนยังมีลมหายใจ…สีสันของ Light and Sound ยามค่ำคืน เงาวูบวาบสะท้อนในสายน้ำ
นักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลเข้ามายังควีนส์ทาวน์ เมืองที่ผูกโบว์รอให้ทุกคนมาแกะของขวัญในกล่อง จ้องมองความสุขที่มีให้สัมผัสเลือกสรรได้ตามใจชอบ
ใกล้ๆ กับโรงแรม Bella ที่ผมพักอยู่ มีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่เน้นขายอาหารสดให้เรานำกลับไปทำครัวได้ วิถีนักท่องเที่ยวที่ใช้รถบ้านหรือรถยนต์แบบ Self Drive มักจะซื้อวัตถุดิบไปทำกินกันเองง่ายๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าเยอะเลย โฮเทล โฮสเทล โมเตล ส่วนใหญ่ก็จะมีพื้นที่ปรุงอาหารสำหรับนักเดินทาง ข้อแม้อย่างเดียวคือห้ามทอดปลา เพราะนอกจากเรื่องกลิ่นคาวแล้วยังมีควันพวยพุ่ง ที่จู่ๆ อาจทำให้สัญญาณเตือนภัยดังสนั่นซะยังงั้น
เดินเล่นชิลๆ ในเมืองควีนส์ทาวน์ผ่านร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อดัง Fergburger อยู่บนถนน Shotover ถ้าใครเดินจะไปทางทะเลสาบก็ต้องผ่านร้านนี้แน่นอน ก่อนจะกินต้องต่อคิวยาวเยียด สนนราคาตั้งแต่ 11 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ไปถึง 18.90 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ เมนูก็มีทั้งเนื้อวัวนิวซีแลนด์จนถึง The Codfather ที่เป็นเนื้อปลา Blue Cod สุดหอมหวานแต่พอดีผมไม่ใช่แฟนอาหารประเภทนี้ และยอมยกธงขาวให้กับคนที่มารอรับประทาน เลยขอผ่านไปก่อนดีกว่า แต่ว่าถ้าใครอยากจะชิมให้ได้ ร้านเค้าเปิดตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงตีห้า จะมาเมื่อไหร่ก็คงไม่มีปัญหา
ผมใช้เวลาเดินตามถนนรอบๆ ทะเลสาบ Wakatipu ดื่มด่ำธรรมชาติและบรรยากาศคึกคักผู้คนก็ดูผ่อนคลาย นักแสดงมายากลมาสร้างความหรรษาพร้อมด้วยเสียงดนตรีข้างทาง มีอะไรให้ดูรู้สึกเพลินดี ร้านหนังสือสวยๆคาเฟ่เก๋ๆ และที่สังเกตเห็นก็คือบริษัทขายอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งนำเสนอทั้งที่ดินและบ้านอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของเกาะใต้ คิดว่าคนไทยจำนวนมากปรารถนาจะมาใช้ชีวิตที่เมืองแห่งนี้ น่าจะลองศึกษาดูนะครับ
Real Journey สัมผัสวิถีคนเลี้ยงแกะ
การล่องเรือกลไฟไอน้ำแบบโบราณ (Vintage Steamship) ชมความสวยงามของทะเลสาบ Wakatipu เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดผมซื้อแพคเกจของบริษัท Real Journey ซึ่งถือเป็นเอเย่นต์ใหญ่สุดของควีนส์ทาวน์ก็ว่าได้ ไปดูฟาร์มเลี้ยงแกะที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ที่ Walter Peak ซึ่งห่างออกไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงครับ
ทาง Real Journey เค้ามีการจัดระบบการเข้าชมโดยใช้ไกด์ทัวร์ คือไปเป็นรอบๆ เพราะนักท่องเที่ยวมาอย่างไม่ขาดสายจริงๆ แบ่งโซนพื้นที่เป็นสองส่วน เอาท์ดอร์โชว์วิธีการต้อนแกะบนภูเขาของสุนัขที่เลี้ยงไว้ ส่วนอินดอร์คือห้องแสดง Live สด ที่มีเจ้าตัวขาวเป็นพระเอก ซึ่งสุดท้ายก็เหลือแต่หนังละครับ ถูกตัดขนจนเกรียนเหลือตัวเล็กลีบนิดเดียว แต่ไม่กี่เดือนขนก็ขึ้นใหม่ เป็นธรรมชาติของแกะ
เมื่อชมการแสดงเสร็จแล้วถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยงมื้อพิเศษแบบบุฟเฟต์ที่ Colonel ’s Homestead Restaurant มีสเต็กอร่อยๆ ให้เลือกมากมายทั้งเนื้อวัว เนื้อแกะ รวมถึงสลัดผักและของหวานที่ฟินมาก นับว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาแพคเกจจริงๆ ใครอยากรู้ว่าเท่าไหร่ลองเข้าไปยังเวปไซด์ realjourneys.co.nz
ที่น่าเซอร์ไพร์สซึ่งผมสังเกตเห็นคือกรุ๊ปคนจีนนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ไม่เพียงแค่ทานอาหาร แต่ยังสั่งไวน์ เบียร์ วางเต็มพรึ่ดไปหมด ไม่รู้ต้องควักกระเป๋าสตางค์เพิ่มอีกเท่าไหร่ เชื่อแล้วล่ะว่าอาเฮียอ้าซ้อเค้ารวยจริงๆ
อีกกิจกรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ Skyline Queenstown Gondola บน Brecon Street เป็นการเล่น Luge หรือลูจ เครื่องเล่นคล้ายรถคันเล็กๆ ที่ต้องบังคับทิศทางลงจากเขาสูงกว่า 800 เมตร ณ ยอดเขา Bob’ Peak เค้าทำเป็นเหมือนสนามแข่งขันฟอร์มูล่าวัน ลาดลงไปเรื่อยๆ หมุนม้วนกันสนุกแบบสุดเหวี่ยงทีเดียว ใครที่ชอบความเร็วแรงสไตล์ Fast and Furious ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย สักรอบสองรอบ ซึ่งเค้าจะโปรยหัวไว้ว่าใครได้ลองเล่นแล้ว Once is never enough พอได้ประสบการณ์ร้องกรี๊ดและเรียกเสียงหัวเราะไปได้ตลอดทริป
…เส้นทาง Milford Sound กำลังรออยู่ข้างหน้า โบกมือลาควีนส์ทาวส์สุดประทับใจครับ