ก่อนจะได้รับฉายา “ราชาแห่งสี” โกห์ เฉิง เหลียง (Goh Cheng Liang) มหาเศรษฐีผู้ได้รับการจัดอันดับจาก Bloomberg ว่ามีสินทรัพย์ขนาด 7.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดท็อป 500 ของคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เขาคือเด็กจากครอบครัวที่ยากจนสุดในสิงคโปร์ อาศัยอยู่ในบ้านเช่าราคา 3 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อเดือน แต่หลังจากนั้นแค่ 30 ปี ชีวิตกลับพลิกผันให้ทั่วทุกบ้านในสิงคโปร์ใช้สีจากบริษัท Nipsea Group ของเขา
เส้นทางธุรกิจของ โกห์ เฉิง เหลียง ต้องผ่านประสบการณ์มากมายทั้งที่สำเร็จและล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่สิ่งที่ทุกๆ คนต่างยกย่องชายวัย 83 ปีคนนี้ก็คือ การมีต้นทุนอันน้อยนิด…เขาเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้อย่างไร
เว็บไซต์ asia finance เรียกขานเส้นทางที่ผ่านมาของโกห์ว่า From Rag-to-Riches เพราะเขาเกิดในครอบครัวข้นแค้น พ่อไม่มีงานทำ ขณะที่แม่ก็เป็นเพียงพนักงานซักผ้า เมื่ออายุ 12 ปี ต้องระหกระเหินออกไปอยู่ที่มาเลเซีย เพื่อทำงานเป็นพนักงานขายอุปกรณ์ตกปลาของลูกพี่ลูกน้อง ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เอเชียเป็นเป้าหมายในการยึดครองและสร้างอาณานิคม ทำให้ทุกชีวิตล้วนไม่แน่นอน แต่เมื่อพันธมิตรเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ช่วงปลายๆ ของสงครามโกห์จึงตัดสินใจกลับมายังบ้านเกิด แล้วเริ่มทดลองทำธุรกิจเล็กๆ ด้วยการจำหน่าย น้ำอัดลม และเป็นเซลแมนขายวัสดุก่อสร้างเกือบ 4 ปี เขาเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการค้าขายได้มากยิ่งขึ้น
จุดพลิกผันคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงจริงๆ ประมาณปี พ.ศ.2492 กองกำลังของสหราชอาณาจักรได้ถอยจากภูมิภาคนี้ไป พบว่าในโกดังคลังสินค้ามีสีที่เหลือตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก กองทัพอังกฤษจึงได้เปิดให้มีการประมูลขายออกไป โกห์เล็งเห็นโอกาสที่เขาจะทำกำไรได้ จึงรวบรวมเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้เข้าไปซื้อสีลอตดังกล่าวแล้วนำกลับมาค้นคว้าทดลองผสมให้มีโทนสีที่หลากหลาย เมื่อได้สูตรที่ลงตัวจึงตัดสินใจเปิดบริษัทสีภายใต้ชื่อ Pigeon Paint และความสำเร็จก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
มิสเตอร์ซิม ไล ฮี หุ้นส่วนทางธุรกิของโกห์ ขณะนั้นเคยให้นิยามต่อการตัดสินใจครั้งนั้นว่า “Mr Goh has a nose for good deals” โกห์มีสายตาที่เฉียบคมและฝีมือในการดีลธุรกิจที่เฉียบแหลม เปรียบได้กับผู้ประกอบการที่ต้องมีจมูกไวต่อกลิ่นอายของการทำมาค้าขาย ซึ่งมหาเศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกทุกคนจะต้องมีสัมผัสแบบนี้
ไม่ใช่แค่ฝีมือแต่โชคต้องเข้าข้าง ไม่กี่ปีต่อมาสงครามเกาหลีที่สั่นคลอนสภาพเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียก็สงบลงเช่นเดียวกัน ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์เริ่มบูมอีกครั้ง ประกอบกับรัฐบาลสิงคโปร์ประกาศกฎระเบียบควบคุมการนำเข้าสีจากต่างประเทศ ทำให้ Pigeon Paint กลายมาเป็นสินค้ายอดนิยมของผู้คนทันที นำมาสู่การทาบทามของบริษัท Nippon Paint จากญี่ปุ่นให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่รายเดียวในสิงคโปร์
ในวัยกลางคน โกห์ เฉิง เหลียง เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง ธุรกิจ แต่การจะเป็นที่ยอมรับต้องมีองค์ความรู้เพิ่มขึ้น เขาตัดสินใจเดินทางไปประเทศเดนมาร์ก เพื่อศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตสีเพื่อกลับมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง จะเห็นได้ว่ากว่าจะก้าวเดินบนพรมแดงได้นั้นต้องลงทุนลงแรง พัฒนาทักษะ ความเชี่ยวชาญ และเรียนรู้อย่างลึกซึ้งถึงสินค้าในมือของตนเองอย่างดีเยี่ยมก่อนจะขายให้คนอื่น
รางวัลแห่งความมุ่งมั่นก็คือ การเป็นหุ้นส่วนธุรกิจอย่างเต็มตัว โกห์ตั้งบริษัท Nippon Paint South-east Asia Group ในปี พ.ศ.2505 และเข้าไปถือหุ้นใน Nippon Paint ถึง 30% เรียกได้ว่าเขาก้าวขึ้นสู่อาณาจักรแห่งวงการสีทาบ้านอย่างเต็มตัว และเมื่อรัฐบาลสิงคโปร์ออกประกาศในเวลาต่อมากำหนดให้อาคารในประเทศต้องทาสีใหม่ทุก 5 ปี ก็ยิ่งทำให้ยอดขายสีพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด
“ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุด คือการไม่กล้าเสี่ยงเลย” โกห์เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งหลัง Nipsea Group ได้จับมือกับ Nippon Paint ออกเปิดตลาดในภูมิภาคอาเซียนอื่นๆ และยังร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทในท้องถิ่น เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า อาทิ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน ทำให้มีช่องทางการขายถึง 15 ประเทศ โรงงานผลิตกว่า 30 แห่งทั่วโลก
วิสัยทัศน์ของโกห์ไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาขยายจากธุรกิจสีไปสู่อสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเกิดและหลายประเทศในเอเชีย โดยเปิดบริษัท Wuthelam เพื่อลงทุนในอาคารสำนักงาน ห้างค้าปลีก โรงพยาบาล โรงแรม และคอนโดมีเนียมพักอาศัยซึ่งทั้งหมดสนับสนุนและต่อยอดธุรกิจซึ่งกันและกัน จนเขาขึ้นทำเนียบผู้ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในสิงคโปร์
แม้จะไม่ได้บริหารธุรกิจแบบเต็มตัวเหมือนสมัยก่อน เพราะปัจจุบันเขามอบความไว้วางใจให้กับ Goh Hup Jin บุตรชายในการดำเนินอาณาจักรทางการเงิน การค้า การลงทุนนี้แทน โดยโกห์หันมาให้ความใส่ใจกับการกุศล ตั้งมูลนิธิส่วนตัวเพื่อบริจาคเงินช่วยเหลือสังคม และใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย โดยมอบเงิน 50 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติและให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
ด้านชีวิตส่วนตัวนั้น โกห์มีความหลงใหลเกี่ยวกับเรือยอร์ชเพื่อออกท่องทะเลกว้างใหญ่ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขาเติบโตมาจากการค้าขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ตกปลาและการประมงมาก็เป็นได้ Tycoon ผู้นี้เป็นเจ้าของ White Rabbit Echo ซุปเปอร์เรือยอร์ชหรูขนาดยาว 61 เมตร แม้จะไม่มีการเอ่ยถึราคาแต่ย่อมทราบกันดีว่ารสนิยมของมหาเศรษฐีระดับนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
นี่คือสีสันที่แต่งแต้มชีวิตของ โกห์ เฉิง เหลียง ราชาแห่งสีผู้มีวิชั่นให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์ นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ