เมืองท่าทางตอนใต้ของเกาะ ‘หมุดหมาย’ ที่เมื่อมองจากบนฟ้า จะเห็นรูปร่างของกล่องสี่เหลี่ยมหลากสีสัน…เรียงรายอยู่ริมชายฝั่ง ทั้งเขียว ส้ม เหลือง ขาวตัดกับสีน้ำเงินแวววาวของท้องทะเล
‘เกาสง’ ไม่ได้สำคัญแค่เรื่องส่งออกสินค้า แต่ยังเป็นสถานที่คูลๆ ใครมาเที่ยวก็ต้องหลงรัก เมื่อได้สัมผัสกลิ่นของอายกาลเวลาแห่งอดีตบรรจบพบเจอปัจจุบัน…โลกอนาคตถูกฉุดรั้งไว้ เหลือแค่ความทันสมัยแต่ไม่ถึงกับล้ำยุค ความสุขที่ผ่อนคลายไม่เร่งร้อนเหมือนเมืองใหญ่
ผมเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น ‘คาแรคเตอร์’ ของเมืองต่างจังหวัด เมืองรองซึ่งยังคงรักษาเสน่ห์ความเป็นไต้หวันดั้งเดิมไว้ได้ชัดเจน…บรรยากาศตลาดชายทะเลอันคร่ำคร่า แหล่งช้อปปิ้งของกินดื่มริมทาง ขี่จักรยานเพลินๆ เดินเสพงานศิลป์บนสตรีทอาร์ต แกลเลอรี่แห่งวิถีชีวิตมีให้เห็นตามชุมชนต่างๆ
ไปด้วยกัน…ตลาดกลางคืน
ผมใช้บัตร I Pass นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานีต้นทาง Main Station เพียงไม่นานก็ก้าวลงที่ Formosa Bouluvard Station ณ จุดนี้ ขอแนะนำ ‘ไฮไลต์’ 2 อย่างที่ไม่ควรพลาด คือความวิจิตรอลังการของงานประดับประดาสถานีด้วยภาพวาดบนกระจกแก้วมุมสูง 360 องศา ได้รับฉายาว่า ‘The Dome of Light’ ใช้กระจกกว่า 4,500 ชิ้น จัดวางสร้างมายาภาพด้วยสีสันศิลปะ บนวัสดุบอบบางชิ้นใหญ่สุดของโลกเท่าที่บันทึกไว้ตอนนี้ ออกแบบตบแต่งโดยอาร์ติสต์ชาวอิตาลี Narcissus Quagliata บอกเล่าเรื่องราวของอาณาจักร ‘เทพเจ้า’ ก่อนเข้าสู่ยุคก่อกำเนิดมหาสมุทรและมนุษย์โลก
แบ่งเป็น 4 ชุดความคิด ได้แก่ Water : The Womb of Life , Earth : Prosperity and Growth , Light : The Creative Spirit และ Fire : Destruction and Rebirth ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาสู่ความรักและสันติภาพ
เจ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟก็คงมีใจสุนทรีย์ เปิดดนตรีแบบ ‘ออเคสตร้า’ มาเป็นซาวน์เอฟเฟกต์ แสงสีเสียงสมัยใหม่ทำให้ภาพเขียนบนท้องฟ้าเหล่านี้มีชีวิตชีวา สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้คน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างการเดินทาง
ผมเดินออกมาจากสถานี Formosa เพื่อนัดพบกับตลาดกลางคืน Liouhe Night Market (ใช้ EXIT 11) เป็นแหล่งรวมอาหารสตรีทฟู้ด ‘ป็อบปูลาร์’ มากที่สุดของเมือง ไม่ว่าจะเป็นซีฟู้ดสดๆ หรือกินสนุกๆ แบบเสียบไม้ปิ้งย่าง ไปจนถึงเปิบพิสดารอย่างซุปงูเห่าอันเร่าร้อน
เนื้อย่างแบบญี่ปุ่นใช้ไฟแรงๆ ค่อยๆ ละเลียด ยังคงได้รับความนิยมจากผู้มาเยือน รวมถึง ‘ขนมครกไข่’ ใส่กุ้งเป็นตัวๆ ราดซอสและพริกไทย น่ากินแบบไม่กลัวคอเรสเตอรอลขึ้นกันเลยทีเดียว ส่วนใครที่ชอบนั่งรับประทานในร้าน ก็มีให้บริการเพียบ โดยเฉพาะกุ้ง ปลาหมึกสดๆ ปิ้งกันเห็นๆ ตัวเป็นๆ ที่หน้าร้าน แม้น้ำจิ้มจะไม่แซ่บเหมือนบ้านเราแต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ฟินน์มาก
บรรยากาศของเกาสงช่วงก่อนปีใหม่ ราวปลายเดือนธันวาคมเย็นๆ ครับ ไม่หนาวจัดแต่กำลังสบาย ทำให้ความยาวของถนนเส้นนี้ ที่ผมคะเนด้วยสายตา น่าจะราวๆ สองสามร้อยเมตร ไม่เป็นปัญหาแม้ต้องใช้เวลาเดินไปกินไปนานกว่าชั่วโมง เพราะนอกจากสตรีทฟู้ดแล้ว ยังมีร้านเครื่องเล่นแบบโอลด์เอนเตอร์เทนเมนท์ อย่างยิงปืนสองชุดร้อย การปาลูกดอก เพื่อแลกกับของกุ๊กกิ๊กอย่างตุ๊กตาหลากสี หลายขนาด ก็นับว่าให้อารมณ์เพลินๆ ดีจัง
สตรีทอาร์ตแห่งชุมชนริมทะเล
ส่วนใครที่กำลังตามหาสิ่งที่เรียกว่า ‘สุนทรียภาพ’ ขอแนะนำให้ไป ย่าน Pier-2 Art District จากสถานีใจกลางอย่าง Main Station เปลี่ยนเป็นสายสีส้มลงที่ Yangchengpu Station และเดินต่อไปอีกเล็กน้อยตามถนน Dayong Road ไม่ถึงห้านาที ก็จะพบกับแหล่งท่องเที่ยวแบบสตรีทอาร์ทอาณาจักรแห่งงานศิลป์ริมทะเล
ด้วยความที่เป็นท่าเรือน้ำลึกเก่าแก่นับตั้งแต่ปี 1970 ก่อนที่รัฐบาลจะพัฒนาใหม่ด้วยการปรับโฉมโกดังมากถึง 27 แห่ง ออกแบบตกแต่งใหม่ให้ดูคลาสสิคทันสมัย กลายเป็นพื้นที่จัดนิทรรศการศิลปะทั้งภาพเขียน ภาพพิมพ์ งานปั้น โมเดิร์นอาร์ท และโรงภาพยนตร์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน และบางครั้งยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลดนตรี มีทั้งวงท้องถิ่นและอินเตอร์เนชั่นแนล สร้างความตื่นตาตื่นใจแบบลืมหายใจทีเดียว
งานแสดงศิลปะสลับกับร้านจำหน่ายของที่ระลึกดีไซน์แบบสุดแนว ไอศรีมอร่อยๆ ใส่มาในแก้วรูป ‘หลอดไฟ’ กลายเป็นไอคอนแปลกที่นักท่องเที่ยวมาแล้ว ห้ามพลาดถ่ายรูป แชร์วนไปให้เพื่อนๆ ทางโซเชียล
Landscape ของงานอาร์ตถูกจัดวางอย่างลงตัวทุกหนทุกแห่ง กลมกลืนกับ ‘ชุมชนเก่าแก่’ ที่เคยอาศัยอยู่อย่างใกล้ชิดกับท่าเรือแห่งนี้มานาน บ้านเรือนของผู้คน โรงซ่อมอะไหล่ ก็อยู่ติดกับร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ไม่ขัดเขิน บางโกดังเคยเป็นโรงเก็บอ้อยและน้ำตาล ถูกแปลงเปลี่ยนเป็นอาคารแสดงศิลปะหรือร้านอาหารชั้นเลิศ อย่างพิซซ่าอิตาเลี่ยนที่ผมไปทาน ต้นตำรับนับร้อยปี เชฟที่นี่ใช้เตาถ่านจานไม้ ดูพิถีพิถันมาก รสชาติอร่อยอย่าบอกใครเชียว
อีกโกดังเป็น Bookstore ที่มีทุกอย่างคล้ายบีทูเอสบ้านเรา ไม่เพียงหนังสือภาษาจีน ไต้หวัน หรือนวนิยายตะวันตก ยังมีนิทานสำหรับเด็กๆ ที่วาดได้อย่างวิจิตรชวนฝัน สมกับที่ไต้หวันมีชื่อเสียงเรื่องงานออกแบบสิ่งพิมพ์จริงๆ
Pier-2 Art District เป็นเหมือนสวนที่สร้างสรรค์โดยสถาปนิก สะท้อนความละเอียดอ่อนในจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของชาวเมือง ชวนให้เหมือนเดินหลงเข้าไปในสถานที่จรรโลงโลกย์สักแห่งที่มีแต่สิ่งสมมุติสวยๆ งามๆ สะกิดให้บ้านเราน่านำไอเดียดีๆ มาเป็นแบบอย่างว่ามั้ย?
ปั่นจักรยานไฟฟ้าบนเกาะฉีจิน
จากย่าน Pier-2 Art District ผมเดินเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่ก็ขอบอกว่าหอบแฮกๆ เหมือนกันครับกับระยะทางประมาณหนึ่งกิโลเมตร ผ่าน Sizihwan Harbor Area เพื่อมายังท่าเรือข้ามฝากไป เกาะฉีจิน (Cijin Island) ที่เค้าบอกว่าใครมาเมืองเกาสงแล้วพลาดไม่ได้ ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ก็มักมาพักผ่อนที่ปลายสุดแดนทะเลแห่งนี้มากทีเดียว
จริงๆ นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีสายสีส้ม Sizihwan ก็ช่วยย่นระยะทางให้ใกล้กว่าเดิมเยอะ แต่ถ้าไม่รีบร้อนขอแนะนำเส้นทางเดินเพื่อ Burn ไขมันโดยใช้สองขานั่นแหละครับ อย่างน้อยยังได้เสพงานศิลป์ ซึ่งมีให้ซึมซับตลอดเส้นทางจาก Pier-2 Art District ก็ 20 นาทีโดยประมาณ
เกาะฉีจิน เหมือนเมืองเล็กๆ เมืองนึง ที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น เจริญหูเจริญตานะครับไม่ต่างจากบนฝั่ง เพียงแต่การจราจรไม่แออัดยัดเยียด การนำรถยนต์ขึ้นมาต้องอาศัยเรือเฟอร์รี่ ส่วนใหญ่คนที่นี่นิยมขี่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งอาศัยเรือข้ามฝากมาได้อย่างสะดวก
เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชอบมาขี่จักรยานชิลๆ กินบรรยากาศ ทัศนียภาพ ประวัติศาสตร์ ร้านรวงและอาหารทะเลสดๆ ได้รสชาติ ตลาดน่าซื้อหาสินค้าในแบบโลคัลจริงๆ
จักรยานที่เกาะฉีจินนี้เค้ามีเอกลักษณ์ ซึ่งนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ยกนิ้วให้เลย เพราะเป็นจักรยานไฟฟ้าใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน ขี่แบบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก คันใหญ่นั่งได้ 4-5 คน สนนราคาชั่วโมงละประมาณ 400 บาท ขับไปตามถนนได้ยลโฉมบ้านเรือนเก่าๆ ดูประภาคาร เหมือนการย้อนยุคไปเมื่อ 40-50 ปีก่อน
วัดวาอารามศูนย์รวมจิตใจของชาวไต้หวันบนเกาะแห่งนี้ก็มีให้เห็นตลอดเส้นทาง รุ่นปู่รุ่นย่าตั้งใจสร้าง-สลักเสลาจนดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ส่วนพื้นที่สาธารณะ จัดวางให้เหมาะกับการนั่งชมพระอาทิตย์ตกดิน เสร็จแล้วก็มากินอาหารจีนอร่อยๆ ผักสดๆ ผัดน้ำมันหอยจานโต ไปจนถึงเบียร์เย็นๆ
แม้อากาศจะหนาวแต่ก็อุ่นท้องก่อนนั่งรถไฟกลับไปยังตัวเมืองเกาสง…ด้วยความอิ่มเอม
อาณาจักร E-DA World
ใครที่มาแบบครอบครัว ขอบอกว่าเมืองเกาสงแห่งนี้มีสวนสนุก E-DA World Theme Park ที่ออกแบบได้ยิ่งใหญ่ ในสไตล์ยุคกรีกโรมัน รวบรวมสุดยอดเครื่องเล่นแปลกใหม่ รับรองไม่เคยตื่นเต้นแบบนี้จากที่ไหนมาก่อน อย่างไวกิ้งชวนขนลุกเพราะพี่เค้าหมุนควงแบบ 360 องศา แล้วค้างคาผู้เล่นไว้บนความสูงระดับตึกยี่สิบชั้น หรือรถไฟเหาะที่ไม่ได้ตีลังกาธรรมดาๆ แต่ทิ้งดิ่งลงมาเหมือนโลกนี้ไร้แรงโน้มถ่วง
รวมถึงบ้านผีสิงที่สยดสยองสุดบรรยาย ส่วนของเล่นไฮเทคล้ำยุคแบบ Virtual Reality หรือ VR ราวกับเรากำลังเข้าไปอยู่ในสงครามจริงๆ และนั่งชิงช้าสวรรค์ที่สูงสุดในไต้หวัน
สัญลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ ใครมา E-DA Theme Park ก็จดจำ คือ ม้าไม้เมืองทรอย ตัวใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ภายในสวนสนุกแห่งนี้ แถมยังมีเอาท์เลทให้ช้อปปิ้ง ร้านอาหารที่ต้องบอกว่าอลังการ พื้นที่รอบๆ สวนสนุกก็มีทั้งโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย สนามกอล์ฟ โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า และที่พักขนาดใหญ่พร้อมสรรพ
การเดินทางมา E-DA Theme Park สามารถใช้บริการรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีรถไฟความเร็วสูง THSR แล้วต่อรถบัสสาธารณะที่จอดอยู่ด้านหน้าสถานี สาย 8501 จะมีรถออกทุกๆ 25-30 นาที นั่งไปครึ่งชั่วโมงก็ถึง ส่วนตอนกลับก็ใช้รถบัสสายเดิมนั่นเองโดยสวนสนุกจะมีป้ายบอกตรงทางออก ให้พวกเราเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบ
พักโรงแรมแถมอาหารค่ำ
ทริปทำความรู้จักเมืองเกาสง ทำให้ผมประทับใจหลายอย่าง ไม่เพียงแต่สถานที่ท่องเที่ยว ผู้ร่วมทาง แต่ ‘ที่พัก’ ในราคาไม่แพงคืนละไม่เกิน 2,000 บาท แต่คุณภาพเกินคุ้ม อย่าง Kindness Hotel อยู่ใกล้ๆ ชุมทางสถานีขนส่งสาธารณะใจกลางเมือง เลือกขึ้นได้ทั้งรถเมล์ท้องถิ่น รถไฟใต้ดิน
ที่สำคัญครับ จะมี Hotel ซักกี่แห่งในโลกนี้ ที่บริการอาหารเช้าและอาหารค่ำ พร้อมตักไอศครีมและกาแฟฟรีทั้งวี่วัน ถ้าใครเคยใช้บริการ Toyoko Inn ที่ญี่ปุ่นมาแล้ว ก็อาจคุ้นๆ กับรูปแบบนี้ บริการดีๆ เหมือนขอบคุณคนที่มาพัก จะได้กลับมาเยี่ยมมาเยือนใหม่ รอบๆ โรงแรมยังมีร้านอาหารสดทั้งบะหมี่ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ที่เปิดจนดึกดื่น
ผมเดินเล่นสบายๆ ตอนกลางคืน ซึมซับวิถีชีวิตยามค่ำของชาวเมือง มีเสียงกระซิบกระซาบทุกตรอกซอกซอย ล่องลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง แม้ไม่มีแสงสี แต่ผมเห็น นักดนตรีข้างถนน คนรุ่นใหม่มากความฝัน ขับขานบทเพลงขับกล่อมผู้คนสัญจรผ่านไปมา
ข้างถนนมีสภากาแฟและร้านชาให้เห็นดาษดื่น ดึกแล้วบางคนยังสนทนาเรื่องสัพเพเหระ และคาสิโนเล็กๆ เปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รอให้อาแปะ อาเสี่ย มาเสียตังค์ตั้งอยู่มากมาย ผมคิดว่าคนเหล่านี้ก็มีคงความฝันในอีกแบบแถบทาง แตกต่างจากพวกเราละกัน
ความประทับใจอีกประการครับ ‘เกาสง’ มีระบบคมนาคมที่ดี ทั้งสนามบิน รถไฟความเร็วสูง แอร์พอร์ตลิงค์และโครงข่าย MRT ที่เชื่อมต่อพื้นที่ต่างๆ ทั้งโซนพักอาศัย ท่องเที่ยว และเขตเศรษฐกิจใหม่ ทำให้ปัจจุบัน หลายๆ สายการบินมุ่งตรงมายังเมืองท่าทางใต้แห่งนี้ เป็นตัวเลือกที่สะดวก/สบายน่าสนใจ
กลิ่นอายของความเป็นเมืองต่างจังหวัดช่างน่าหลงใหล วิถีวัฒนธรรมโบราณ ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติและความเป็นอาร์ตของคนรุ่นใหม่ ทำให้ผมมา ‘เกาสง’ แล้วหลงรักประเทศไต้หวันขึ้นมาจับใจ….