แม้จะไม่ Happy Ending แต่ฉากสุดท้ายของ La La Land ก็ทำให้หลายคนต้องยอมเสียน้ำตา มิใช่ว่าเศร้ากับความรักที่ต้องเดินแยกจาก แต่ ‘อิ่มเอม’ ที่ทั้งสองคน ค้นพบเส้นทางของตัวเอง และซื่อสัตย์ในความฝันที่มีมาตลอดชีวิต

La La Land คำสแลงที่บอกถึงแรงปรารถนา ช่วงเวลาแห่งความหลงใหล ใฝ่ฝันของวัยหนุ่มสาว ซึ่งต้องการจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงและเสียงดนตรี

‘เซบาสเตียน’ กับ ‘มีอา’ ยอมละทิ้งโลกของความจริงบางอย่าง เพื่อคว้าดวงดาวในเมืองใหญ่ในลอสแองเจิลลิส

เมืองที่ครั้งหนึ่งเขาบอกกับเธอว่า เมื่อมองลงไปข้างล่าง “วิวไม่สวยงามเอาซะเลย” แต่เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จักรวาลความฝันนี้ ช่างงดงามยิ่งนัก

“City of Stars  – ดวงดาวแห่งเมืองมายา

Are you shinning just for me.  – โปรดส่องประกายมาที่ฉัน

City of Stars  –  ดวงดาวแห่งเมืองมายา

There ’s so much that I can’t see  – ดารกาวิบวับดังภาพฝัน

City of Stars  – โอ ดวงดาวแห่งเมืองมายา

Just one thing everybody wants  –  มีสิ่งเดียวที่ปรารถนาในชีวัน

There in the bar  – เหม่อมองผู้คน ดื่มด่ำในบาร์

And through the smokescreen  – ผ่านม่านควันอันฟุ้งฝัน

Of the crowded restaurant  – บนโต๊ะอาหารอันแน่นขนัด

It ’s love  – คำว่าความรัก

Yes , all we’re looking for is love  – คือสิ่งที่เราค้นหา

from someone else”  – จากผู้คนที่ไม่รู้จัก

จากเพลง City of Stars

La La Land สื่อสารกับผู้คนด้วยบทเพลง ที่สะท้อนความหมายดีๆ ทั้งความสุข ความทุกข์ ความรัก และความผิดหวัง ดังนั้น 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์เพลงนี้ สร้างเซอร์ไพร์สให้คนทั่วโลก ราวกับตัวโน้ตเหล่านี้มีมนต์สะกด

หนังเปิดด้วยฉากด้วยสีสันตระการตาระหว่าง เซบาสเตียน และ มีอา ซึ่งได้มาพบกันครั้งแรกบน ‘ซุปเปอร์ไฮเวย์’ ที่เต็มไปด้วยรถยนต์สุดลูกหูลูกตา พร้อมกับเพลง Another Day of Sun 

นี่คือ เป็น สัญลักษณ์ ว่า ถนนเส้นนี้ทอดยาวไกล และมีผู้คนมากมายที่กำลังดิ้นรน เพื่อเดินไปตามหลักไมล์แห่งความสำเร็จ

เซบาสเตียนถูกไล่ออกจากไนท์คลับ เพราะเขาไม่เล่น Playlist คริสต์มาสอันน่าเบื่อหน่าย

เขายอมตกงาน เพราะเสียงหัวใจเรียกร้อง ‘แจ๊สแบบนิวออร์ลีน’ เท่านั้น ที่ปรารถนา และไนท์คลับที่คนฟัง ปฏิสัมพันธ์กับนักดนตรี คือที่ๆ เขาอยากเล่น

นี่คือโมเมนต์ที่เขาบอกว่า มันคือ ‘crazy feeling’ ตามเสียงเรียกร้องในหัวใจต้องการ

“I don’t care if I know  –  ฉันไม่ยี่หระต่อสิ่งใดๆ

Just where I will go  – รู้แค่เพียงว่า จะต้องก้าวต่อไป

‘Cause all that I need’s  – ทุกอย่างที่เพรียกหา

This crazy feeling  – ความรู้สึกที่ไหลบ่า

A rat tat time of my heart  – หัวใจไม่เคยหยุดเต้นว่า..

Think I want it to stay”  – ฉันไม่คิดถอยหลังกลับ

เพื่อความฝันและความภูมิใจของผู้หญิงที่เขารัก! เซบาสเตียน ยอมที่จะพักงานเพลงแจ๊สเอาไว้ แล้วเซ็นสัญญากับวงดนตรีชื่อดัง ต้องออกทัวร์ ต้องแสดงสดด้วยการเล่นคีย์บอร์ด และ ลืมความเป็นตัวเองไปชั่วขณะ เพื่อเอาใจแฟนคลับ

ขณะที่ ‘มีอา’ ยอมลาออกจากงานประจำ เพื่อเอาจริงเอาจังกับการแสดง

เธอเทสต์หน้ากล้องนับสิบครั้ง แต่ก็หมดหวัง ไม่ได้แม้คำตอบเดียว แถมละครเวทีที่เธอเขียนบทเอง แสดงเอง ลงทุนเอง มีคนดูแค่ 10 คน

ณ โมเมนต์หนึ่งสะท้อนความเป็น มีอา…เธอเล่าว่าเมื่อยังเด็ก มีป้าซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศส ป้าที่กล้ากระโจนลงสู่แม่น้ำแซนด้วยเท้าเปล่า แม้สายน้ำจะเย็นยะเยือกเพียงใด และตามมาด้วยอาการป่วยนานนับเดือน แต่เธอก็ยังคงทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า…เพราะนี่คือความฝัน

เปรียบเหมือนการ Audition แม้ มีอา จะล้มเหลวกี่ครั้ง เธอก็ยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ

“She captured a feeling

Sky with no ceiling

Sunset inside a frame

She lives in her liquor

and died with a flicker

I’ll always remember the flame

Here’s to the ones

who dream

Foolish, as they may seem

Here’s to the hearts

that ache

Here’s to the mess

we make”

จากเพลง The Fools Who Dream

La La Land ได้รับ 7 รางวัลลูกโลกทองคำ กวาดเรียบทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ดารานำ และเพลงประกอบ แล้วล่าสุดก็ไม่พลาด British Academy Film Awards หรือ BAFTA ประจำปี 2017 อีก 5 รางวัลด้วยกัน แน่นอนว่ารวมถึง ‘หนังที่ดีที่สุดของปี’ 

“ผมคิดว่า LA LA LAND เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนในความหลงใหลบางสิ่ง…หลงใหลในศิลปะ หลงใหลในความรัก และความหลงใหลนั่นเอง ผลักดันพวกเรา สร้างหนังเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น” ผู้กำกับ ดาเมี่ยน แชเซลล์ กล่าวไว้

ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ในเวทีฮอลลีวู้ด แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวันแรกที่ ดาเมี่ยน แชเซลล์ คิดจะสร้าง LA LA LAND เมื่อไม่มีนายทุนคนไหนยอมควักกระเป๋าให้กับภาพยนตร์เพลง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ได้รับความนิยมจากคนดูในวงกว้าง

“สิ่งที่คนดูจะได้รับในหนังเรื่องนี้ คือการปลุก Passion ในตัวคุณออกมา”

ฉากจบ ที่ไม่ Happy Ending ระหว่างเซบาสเตียน และ มีอา ทำให้นึกถึงความรู้สึกสุดท้ายของภาพยนตร์เพลงอมตะ Newyork Newyork เมื่อกว่า 30 ปีก่อน เมื่อทุกคนได้ก้าวสู่ ‘เส้นชัยของความฝัน’ ก็ต้องยอมทิ้งอดีตอันขมขื่นไว้เบื้องหลัง

เช่นเดียวกัน เมื่อสุดท้าย มีอา กลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงอย่างที่ตั้งใจและไปฝรั่งเศส เพราะเมื่อวันที่เธอเปิดการแสดงละครเวที แล้วมีคนดูแค่ 10 คน ปรากฎว่าหนึ่งในนั้น ก็คือผู้คัดเลือกตัวแสดงและผู้กำกับชื่อดัง ที่ได้เห็น ‘เปลวไฟแห่งดารา’ ของมีอา ที่ฉายออกมาอย่างโดดเด่น

และโดยบังเอิญ…ค่ำคืนหนึ่งบนทางด่วน ที่การจราจรแน่นขนัด เธอและสามี ตัดสินใจกลับรถ เพื่อไปหาร้านอาหารดีๆ แทนงานเลี้ยงหรูหรา

สุดท้ายมาได้พบผับแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเสียงเปียโนเบาๆ ลอยมาสะกดทุกคนให้หลงรัก….ที่นี่ เธอได้พบ เซบาสเตียน ผู้ที่เคยยืนเคียงข้าง เสียสละ และให้กำลังใจยามเธอล้มลงอีกครา

เขาเก็บสะสมเงินจากการเล่นดนตรี และตั้งชื่อผับแห่งนี้ ตามไอเดียของมีอา ไนท์คลับที่เล่นแต่เพลงแจ๊สล้วนๆ ด้วยนักดนตรีแจ๊สในสไตล์นิวออร์ลีน… เขาทำอย่างที่เคยบอกไว้จริงๆ

ถนนแห่งความฝัน นั้นมีทางแยก เช่นเดียวกับเส้นทางของความรัก ก็มีการลาจาก ทั้งสองคนสื่อสารกันด้วยสายตาครั้งสุดท้าย อาลัยอาวรณ์ ก่อนจะเดินลับหายไปจากชีวิตของกันและกัน…ตลอดไป