เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ยามเย็นของฤดูใบไม้ร่วง ผมนั่งรถไฟความเร็วสูง ออกจากมอสโคว มายังเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเศษ … ตลอดเส้นทาง 650 กิโลเมตร ได้เห็นวิวชนบทสวยๆ สีสันของท้องฟ้า ภูเขา แม่น้ำ และสะพานเหล็กเก่าๆ

…แผ่นดินรัสเซียช่างกว้างใหญ่เกินกว่าที่สายตาของเรา จะบันทึกไว้ได้ทั้งหมด

ท่ามกลางความหนาวยะเยือก เรามาถึงสถานีรถไฟ Moskovsky Station เวลาค่ำๆ คลาคล่ำด้วยผู้คนจากทุกเชื้อชาติ ไม่เฉพาะชาวเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่ยังนิยมเดินทางด้วยรางเหล็กแบบโบราณเท่านั้น แต่ยังหมายถึงนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกด้วย

กลิ่นอายเมืองแห่งศิลปะ เริ่มขึ้นจากตรงนี้ เพราะที่นี่คือต้นทางของถนนเนฟสกีปรอสเปคต์ ที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร เป็นฉากอลังการสำหรับรถยนต์ รถราง และทางเท้า ที่เจิดจรัสที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ซึ่งต่างได้รับการยกย่องว่าคลาสิกของอดีตเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ ล้วนปักหมุดอยู่สองข้างทาง ที่ทุกคนยังสามารถ ชิลๆ กับร้านอาหารหลากสไตล์ ร้านกาแฟเก๋ๆ สถาปัตยกรรมเก่าๆ โรงแรมแบบเวิลด์คลาส ทุกสิ่งอย่างอัน ล้วนให้บริการบนถนนเส้นนี้นั่นเอง

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

แลนด์มาร์กริมฝั่งแม่น้ำเนวา

ถ้าภาพหนึ่งภาพ…แทนคำนับพัน ชาวเมือง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก็คงมีสตอรี่ ที่จะกระซิบบอกชาวโลกได้ไม่รู้จบ เพราะพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แกลเลอรี่สาธารณะมีอยู่มากมายและเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับความงดงาม

สถานที่แรกซึ่งอยู่ในใจ จนเรียกว่า ไม่ไปไม่ได้ คือ The State Hermitage Museum หรือพิพิธภัณฑ์มรดกแห่งชาติรัสเซีย สุดถนนเนฟสกีปรอสเปคต์ ริมฝั่งแม่น้ำเนวา ซึ่งมองดูยิ่งใหญ่คล้ายๆ แม่น้ำเจ้าพระยาแห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

นี่คือ “แลนด์มาร์ค” ของอันโดดเด่นและถูกนำมาทำโปสการ์ดมากที่สุดจุดหนึ่งของเมือง ผมตื่นตาตื่นใจกันตั้งแต่บรรยากาศด้านหน้าอาคาร ซึ่งมีเสาหินอ่อนขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนอนุสรณ์สถานแห่งชัยชนะ ตัดกับอาคารสีเขียวคราม สง่างามด้วยปูนปั้นบน The Hermitage เป็นฉากหลัง เร่งเร้าให้เหล่านักเดินทาง โพสต์ภาพผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อบอกคนอีกซีกโลกหนึ่งว่า…ฉันได้มาถึงแล้วววนะ

ภายใน The Hermitage คือสถานที่จัดแสดงภาพเขียนล้ำค่าของรัสเซียกว่า 2,500 ภาพ พร้อมทรัพย์สมบัติ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอัญมณี เครื่องประดับประดาของอัครกษัตริย์และราชวงศ์ชั้นสูง ที่สถาบันแห่งนี้ดูแลอยู่นับล้านชิ้น สะท้อนถึงวิถีแห่งศิลป์ที่อยู่ในจริตของคนชั้นสูงรัสเซียมาอย่างยาวนาน และฝังรากวัฒนธรรมมายังทุกผู้คนในผืนแผ่นดินหมีขาว

พิพิธภัณฑ์เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกแห่งนี้ ก่อสร้างขึ้นในสมัยพระนางเจ้าวิคทอเรียมหาราช หากท่านต้องการเดินชมครบทั้งหมด ต้องเดินผ่านถึง 1,050 ห้อง และควรทิ้งเวลาในการมา The Hermitage กว่าครึ่งค่อนวัน เพราะแค่การต่อคิวซื้อบัตรเข้าชมและผ่านขั้นตอนที่ละเอียดยิบของทางพิพิธภัณฑ์ ก็เกือบหนึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว

ทุกๆ ห้องจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลแบบประกบติด โดยเฉพาะชิ้นไฮไลต์ของสมบัติชาติ ซึ่งบรรดากรุ๊ปทัวร์ทั้งจากจีนและยุโรป ต่างต้องการชื่นชมกันอย่างใกล้ชิด ก็จะค่อนข้างหนาแน่นเป็นพิเศษ

The Hermitage ได้เก็บรักษาภาพเขียนที่หายากสุดๆ เท่าที่โลกนี้เคยรับรู้ อย่าง Litta Madonna หรือ “พระแม่มารีให้นม” โดยศิลปิน ลีโอนาโด ดาวินชี่ ภาพ Abraham ’s Sacrifice บอกเล่าเรื่องราวของฑูตสวรรค์ ที่จับมืออับราฮัม มิให้ฆ่าลูกตนเองเพื่อบูชายัญแก่พระเจ้า ของ รอมบรัง และภาพ La danse การเริงระบำสุดเร่าร้อนโดยใช้โทนสีเพียง 3 สี ของ อองรี มาติส วาดไว้เมื่อกว่า 100 ปีก่อน

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโบสถ์หยดเลือด-สวนฤดูร้อน 

ต่อจาก The Hermitage ผมเดินทอดน่องล่องไปตามถนนสายเล็กๆ ที่ชื่อมิลเลียนแนร์ ส่วนใหญ่ เป็นโรงแรม ออฟฟิส และบ้านของคนมีฐานะ ซึ่งด้านหน้าจะเป็นสถาปัตยกรรมอลังการแบบยุโรป ส่วนด้านหลังคืออพาร์ทเมนต์ที่ชาวเมืองอยู่อาศัยรวมกันเป็นชุมชน เดินไปได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อย เพราะสายลมจากแม่น้ำเนวา ช่วยให้อากาศเย็นสบาย ภายใต้อุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียส

ผมแวะถ่ายรูปที่พระราชวัง Marble ของพระนางแคทเธอรีน สร้างเป็นของขวัญให้กับคนรักของเธอ กริกอรี่ โอลอฟ ผนังของวังแห่งนี้ วิจิตรด้วยเนื้อหินอ่อนสีชมพู ซึ่งหาดูได้ยากยิ่งนัก การได้ซึมซับสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสิกเช่นนี้ จึงถือว่าเป็นบุญตาครั้งหนึ่งในชีวิต

ใกล้ๆ กัน มี สวนฤดูร้อน ที่รังสรรค์ตั้งแต่สมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชเมื่อปี ค.ศ. 1704 ทัศนียภาพของใบไม้เปลี่ยนสี ทำให้สวนแห่งนี้งดงามด้วยสีเหลืองอร่าม ยิ่งเวลาแสงแดดอ่อนๆ ส่องมากระทบนั้น เปล่งประกายจับตา ก่อนเราจะเข้าสู่โซน Gostiny Dvor ซึ่งมีสถานที่ๆ ผมอยากบอกว่า “ห้ามพลาด” นั่นคือโบสถ์หยดเลือด หรือ Church on Spilled Blood ศาสนสถานรำลึกการเสียชีวิตของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ซึ่งถูกลอบปลงพระชนม์ ณ บริเวณริมแม่น้ำ Griboedova

โดยโบสถ์หยดเลือดแห่งนี้ เป็นการออกแบบที่มองในมิติไหนๆ ก็ไม่มีที่ใดเสมอเหมือน และได้รับการยกย่องว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยกว่า St Basel ณ จตุรัสแดงในกรุงโมสโควด้วยซ้ำไป โบสถ์หลากสีสรรใช้หินที่ทำจากผลึกแก้วมากกว่า 20 ชนิด ทั้ง นิล หินอ่อน อัญมณี แก้ว โมเสค และกระเบื้องจากอิตาลี ฯลฯ

ถ้าจะสรรหาคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ ก็ต้องบอกว่า…นี่เป็นสถานที่ๆ ต้องไปก่อนตาย

 

ภาพเขียนแห่งราชวงศ์ที่หาชมได้ยาก

แกลเลอรี่แห่งที่สองในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งนักท่องเที่ยวน่าจะเข้ามาสัมผัสก็คือ “รัสเซียน มิวเซียม” รวบรวมผลงานศิลปะทั้งยุคใหม่และสมัยคลากสิกเอาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่า The Hermitage แต่เมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ก็เหมือนต้องมนต์เสน่ห์ อยากเดินดูศิลปะทุกชิ้นแบบไม่วางสายตา และเป็นเรื่องน่าสังเกตว่าที่นี่ อาจยังไม่ค่อยป็อบปูลาร์ เพราะมีนักท่องเที่ยวมา ไม่หนาแน่นนัก จึงเป็นโอกาสดีให้ได้ชื่นชมกับความอลังการอย่างเต็มอิ่มจริงๆ

ผลงานสำคัญที่ถูกนำมาจัดแสดง อย่างเช่นภาพวาดบุคคลสำคัญทั้งชนชั้นสูง นักการเมือง และราชวงศ์รัสเซีย ของ วาเลนติน เซรอฟ และภาพที่เป็นไฮไลต์คือ The Last Day of Pompeii ที่พูดถึงวันสุดท้ายของเมืองปอมเปย์อีก่อนถูกภูเขาไฟถล่ม ซึ่งเนื้อหาในภาพได้จินตนาการให้เห็นอิริยาบถของทุกชนชั้น ทั้งเศรษฐี ยาจก ทาส ล้วนมีสภาพไม่แตกต่างกัน

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

อีกภาพเขียนขนาดใหญ่ของ Ilya Rapin ที่ชื่อว่า “Ceremonial Session of the State Council 1900” สะท้อนการประชุมของกษัตริย์ซาร์นิโคลัสที่ 2 ร่วมกับสภาที่ปรึกษาทางการเมืองและรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ของรัสเซียที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดย Rapin ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสเกตช์ภาพที่ด้านหลังของห้องประชุม ซึ่งเขาใช้เวลาดรอว์อิ้งทุกใบหน้า ทุกอิริยาบทของบุคคลสำคัญอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้สีน้ำมันแต่งแต้มเป็นภาพเขียนขนาดใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาทางการเมือง

ภายหลังเป็นที่ทราบกันดีว่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 คือกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ ที่ต้องสละราชสมบัติและถูกสังหารหมู่ทั้งครอบครัวเมื่อปี ค.ศ.1918 ปิดฉากระบบการปกครองโดยกษัตริย์รัสเซียอย่างสิ้นเชิง ก่อนเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์

รัสเซียน มิวเซียม เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เช้าถึงค่ำ แต่ค่าเข้าชมค่อนข้างสูงทีเดียว ยังดีที่ในวันนั้นบังเอิญเป็นวันพฤหัสบดี เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์บอกว่าเปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีและอยู่ได้ถึงสามทุ่ม เรียกว่าโชคดีแบบสุดๆ เพราะก่อนหน้านี้ต้องน้ำตาตกใน ที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชมภายในโบสถ์หยดเลือด เนื่องจากเค้าปิดให้กิจกรรมพิเศษทางศาสนา จึงถือว่าชดเชยกันไปแล้วกัน

 

กาแฟอุ่นๆ ในเมืองโรแมนติก

เมื่อผ่านพ้นเดือนตุลาคมไปแล้ว รัสเซียจะย่างก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวแบบเต็มตัว ซึ่งต้องบอกว่า บรรยากาศคงเย็นยะเยือกถึงหัวใจจริงๆ แต่ก็เหมาะกับการเดินไปตามถนนเนฟสกีปรอสเปคต์ แล้วถือแก้วกาแฟอุ่นๆ หรือไม่ก็นั่ง คาเฟ่ ที่ตกแต่งแบบว่า…ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย ซึ่งมีให้เห็นเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก

ขณะที่ร้านอาหาร ก็มีให้เลือกกันหลากสไตล์ ทั้งอาหารแบบพื้นถิ่นและยุโรปจ๋า ที่อยากแนะนำคือ ซุปรัสเซียร้อนๆ ใส่ผักเมืองหนาวหอมฟุ้งชื่นใจ หรือไม่ก็สเต็กปลาราดซอส เสิร์ฟกับสลัดแก้เลี่ยนได้ดีทีเดียว ส่วนร้านอาหารเอเซียของเราๆ มีให้ซื้อหา มานั่งทานกันน้อยมาก เท่าที่เห็นมี ร้านอาหารญี่ปุ่น ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Admiralteyskaya ซึ่งบริกรส่วนใหญ่ ก็เป็นคนรุ่นใหม่ชาวรัสเซีย ราเมนซักถ้วย ช่วยให้คนเอเซียอย่างเราๆ พอจะยิ้มออกได้

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ช่างเหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ชอบความงามของศิลปะและประวัติศาสตร์อันน่าหลงใหลของรัสเซีย และผมถ้าต้องหานิยามใดๆ มาบรรยายใต้ภาพ มอบให้กับเมืองแห่งยอดมงกุฏแห่งนี้ คิดว่าน่าจะเป็นคำว่า…ดินแดนศิลปะที่สุดแสนโรแมนติก นั่นเองล่ะครับ

 

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก